วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ใบบัวบก......อาหารสมอง


ใบบัวบก......อาหารสมอง

ใบบัวบกได้ถูกนำมาใช้บำบัดอาการที่เกี่ยวข้องกับสมองมาเป็นเวลานาน และให้ผลเป็นที่น่าเชื่อถือจนได้ชื่อเรียกว่า "อาหารสมอง" เพราะคนสมัยก่อนเชื่อว่าการรับประทานจะช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำรองให้กับสมองและได้ผลดีทั้งในแง่ของการรักษาส่วนของสมองที่ถูกทำลายแล้วให้ดีขึ้น และยังป้องกันไม่ให้สมองที่ปกติอยู่ถูกทำลายหรือเสื่อมลง

นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการลดความเคลียดจากกการทำงานหนัก ปรับปรุงระบบการรับส่งกระแสประสาท ปฏิกิริยารีเฟลกซ์ ( Refiex Reoction ) หรือปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นรอบตัวเรา เพิ่มความสามารถในการทำงาน ทั้งในแง่ของกำลังกาย และกำลังสมอง ควบคุมระดับแรงดันโลหิตให้ปกติ ลดภาวะความเป็นหมัน ช่วยชะลอความแก่หรือช่วยป้องกันร่างกายด้วยการกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกายได้อีกด้วยครับ

นอกจากทำน้ำใบบัวบกแล้วนำมาทำยำกับหมูสับ กุ้งหนือไข่ต้มก้ออร่อยดีนะครับ....อาหารบำรุงสมอง เครดิตDr.C

ว่านรางจืด ราชาแห่งการถอนพิษ

ว่านรางจืด ราชาแห่งการถอนพิษ

ว่านรางจืด ถอนพิษ 
แก้พิษจากอาหาร – สุรา แก้ร้อนใน กระหายน้ำ พอกแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ความดันสูง ไม่เหมาะกับเบาหวาน และไม่ควรกินต่อเนื่อง อ่าน---สรรพคุณและประโยชน์ 20 ข้อ ของรางจืด

รางจืด หรือ ว่านรางจืด ภาษาอังกฤษ Laurel Clockvine, Blue Trumphet Vine ว่านรางจืด ชื่อวิทยาศาสตร์Thumbergia laurifolia Lindl. จัดอยู่ในวงศ์ Acanthaceae มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ อีกเช่น รางเย็น คาย (ยะลา), ดุเหว่า (ปัตตานี), ทิดพุด (นครศรีธรรมราช), ย่ำแย้ แอดแอ (เพชรบูรณ์), น้ำนอง (สระบุรี), จอลอดิเออ ซั้งกะ ปั้งกะล่ะ พอหน่อเตอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), กำลังช้างเผือก ยาเขียว เครือเขาเขียว ขอบชะนาง (ภาคกลาง), ว่านรางจืด เป็นต้น

ลักษณะของรางจืด
• ต้นรางจืด เป็นไม้เลื้อยหรือไม้เถา ที่มีเนื้อแข็ง ลำต้นหรือเถานั้นจะกลมเป็นปล้อง มีสีเขียวสดหรือสีเขียวเข้มลำต้นไม่มีขนและไม่มีมือจับเหมือนกับตำลึง และมะระ แต่อาศัยลำต้นในการพันรัดขึ้นไป รางจืดเป็นพืชในเขตร้อนและเขตอบอุ่นของทวีปเอเชีย จึงสามารถขึ้นได้ทั่วไปตามป่าดิบชื้นของประเทศไทยทั่วทุกภาค เจริญเติบโตได้เร็วมาก และขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เถาในการปักชำ
• ใบรางจืด เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน ลักษณะของใบคล้ายรูปหัวใจหรือรูปใบขอบขนานหรือเป็นรูปไข่ โคนใบมนเว้า ปลายใบเรียวแหลม ใบกว้างประมาณ 4-7 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8-14 เซนติเมตร มีเส้นอยู่ 3 เส้นออกจากโคนใบ
• ดอกรางจืด ลักษณะของดอกออกเป็นช่อห้อยลงมาตากซอกใบ ช่อละ 3-4 ดอก ดอกมีสีม่วงอมฟ้า มีใบประดับสีเขียวประแดง มีกลีบเลี้ยงรูปจาน ดอกเป็นรูปแตรสั้น โคนกลีบดอกมีสีเหลืองอ่อน โคนดอกเป็นหลอดกรวยยาวประมาณ 1 เซนติเมตร เชื่อมติดกันเป็นหลอด และมักมีน้ำหวานบรรจุอยู่ภายในหลอด กลีบดอกมีปลายแยกเป็น 5 กลีบ มีเกสรตัวผู้ 4 อัน
• ผลรางจืด ลักษณะเป็นฝักกลม ปลายเป็นจะงอย เมื่อแก่จะแตกออกเป็น 2 ซีก

สมุนไพรรางจืด “ราชาแห่งการถอนพิษ” เป็นสมุนไพรที่กระทรวงสาธารณสุขรณรงค์ให้เกษตรกรหรือบุคคลทั่วไปเลือกใช้เพื่อใช้แก้พิษต่างๆ เช่น พิษจากยาฆ่าแมลง ยาเบื่อ สารตะกั่ว ฯลฯ ยิ่งเมื่ออยู่ในสถานที่ห่างไกลจากโรงพยาบาล การจะนำส่งแพทย์เพื่อรับการรักษาอาจจะต้องใช้ระยะเวลานาน จนอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ แต่ถ้ามีต้นรางจืดปลูกอยู่แถวบ้าน เราก็สามารถใช้ใบรางจืดที่ไม่แก่หรืออ่อนมากเกินไป หรือใช้รากที่มีอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป ในขนาดปริมาณเท่านิ้วชี้ มาใช้เพื่อรักษาบรรเทาอาการของพิษเฉพาะหน้าไปก่อน ก่อนที่จะนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล โดยส่วนที่นำมาใช้เป็นยานั้นก็ได้แก่ ใบ ราก และเถาสด

ในปัจจุบันผู้คนได้รับสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 45% โดยสารพิษเหล่านี้ร่างกายต่างก็ไม่ต้องการ เพราะเมื่อเกิดการสะสมในร่างกายเข้าไปในปริมาณมากและต่อเนื่อง ก็อาจจะทำให้เป็นโรคต่างๆ ขึ้นมาได้ในอนาคต อย่างเช่น โรคมะเร็ง ซึ่งแน่นอนว่าอัตราการเกิดโรคของคนในยุคปัจจุบันนี้ก็ได้เพิ่มมากขึ้นทุกๆวัน ยิ่งเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในเมืองด้วยแล้วยิ่งน่าเป็นห่วง ซึ่งสมุนไพรรางจืดนี้อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณในการช่วยขับสารพิษต่างๆออกจากร่างกาย เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคได้ในอนาคตนั่นเอง

สรรพคุณของรางจืด
1. รากและเถาของรางจืด สามารถใช้รับประทานเป็นยาแก้ร้อนใน (ราก,เถา)

2. รางจืด สรรพคุณช่วยแก้อาการกระหายน้ำ (ราก,เถา)

3. สรรพคุณรางจืด ใบและรากของรางจืด สรรพคุณใช้เป็นปรุงเป็นยาถอนพิษไข้ได้ (ใบ,ราก)

4. ใบรางจืด สรรพคุณใช้เป็นยาพอกบาดแผล (ใบ,ราก)

5. สรรพคุณว่านรางจืด ช่วยรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก (ใบ,ราก)

6. ว่านรางจืดสรรพคุณ ช่วยบรรเทาอาการผื่นแพ้ต่างๆ (ใบ,ราก)

7. ช่วยทำลายพิษจากยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ซึ่งจัดเป็นสารพิษที่ร้ายมากมากที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะในปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ก็สามารถทำให้คนเสียชีวิตได้เลย เพราะสารพิษชนิดนี้จะไปทำให้เกิดการสร้างออกซิเจนที่ไม่เสถียรขึ้นมา ซึ่งออกซิเจนเหล่านี้จะไปทำลายเยื้อหุ้มเซลล์และทำให้เซลล์ตาย โดยสารพิษพาราควอตนั้นจะอันตรายที่สุด เพราะจะไปทำให้เนื้อเยื่อในปอดถูกทำลายจนไม่สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้ และเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งจากรายงานของโรงพยาบาลศิริราชพบว่าผู้ที่ได้รับสารพิษพาราควอตจะเสียชีวิตทุกราย (อันตราการเสียชีวิตประมาณ 80%) ซึ่งแน่นอนว่ารางจืดสามารถช่วยลดอันตราการเสียชีวิตลงได้ แต่ต้องรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ ร่วมด้วย ส่วนงานศึกษาวิจัยของอาจารย์พาณี เตชะเสน และคณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่าการใช้น้ำคั้นจากใบรางจืดป้อนให้หนูทดลองที่กินยาฆ่าแมลง “โฟลิดอล” พบว่ามันสามารถช่วยแก้พิษได้ โดยช่วยลดอัตราการตายลงเยอะมากจาก 56% เหลือเพียง 5% เท่านั้น และจากงานวิจัยของคุณสุชาสินี คงกระพันธ์ ที่ได้ทำการทดลองใช้สารสกัดแห้งจากใบรางจืดป้อนให้หนูทดลองที่รับยาฆ่าแมลงในกลุ่มออร์แกนโนฟอสเฟต ที่มีชื่อว่า “มาราไธออน” พบว่ามันสามารถช่วยช่วยชีวิตหนูทดลองได้มากถึง 30% (ใบ,ราก)

8. ช่วยแก้พิษจากสัตว์ที่เป็นพิษและพืชที่เป็นพิษ เช่น แก้พิษจากแมงดาทะเล ปลาปักเป้า ซึ่งเป็นพิษที่อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้โดยง่ายหากได้รับในปริมาณมากๆ โดยสารพิษที่ว่านี้คือ เทโทรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีสารแก้พิษนี้โดยเฉพาะ การรักษาต้องรักษาแบบประคับประคองอาการ แต่การใช้รางจืดเพื่อรักษาพบว่าเมื่อผ่านไปประมาณ 40 นาทีผู้ป่วยกลับมีอาการดีขึ้นจนน่าประหลาดใจ (ใบ,ราก)

9. รางจืดช่วยต่อต้านพิษจากสารตะกั่วต่อสมอง ซึ่งสารตะกั่วนี้ก็มาจากมลพิษจากเครื่องยนต์ และแน่นอนว่าคนที่อาศัยอยู่ในเมืองจะมีโอกาสได้รับสารตะกั่วสูงกว่าคนทั่วไป โดยพิษจากสารตะกั่วนี้ก็มีผลต่อระบบภายในร่างกายหลายระบบด้วยกัน แต่ที่สำคัญเลยก็คือระบบสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำและการเรียนรู้ มีงานวิจัยระบุออกมาว่ารางจืดแม้มันจะไม่ได้ช่วยลดระดับของสารตะกั่วในเลือดในหนูทดลอง แต่มันก็สามารถช่วยลดพิษของสารตะกั่วต่อระบบความจำและการเรียนรู้ในหนูทดลองได้ สรุปก็คือมันทำให้เซลล์ประสาทตายน้อยลงนั่นเอง (ใบ,ราก)

10. ช่วยถอนพิษจากยาเบื่อชนิดต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกายโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม (เช่น พิษจากผลไม้ที่ติดอยู่ฝักที่รับประทาน เป็นต้น) รวมไปถึงพิษจากสตริกนินให้เป็นกลาง ซึ่งจากการทดลองของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าถ้าหากใช้ผงจากรากรางจืดผสมกับน้ำยาสตริกนินก่อนป้อนให้หนูทดลอง พบว่าหนูทดลองไม่เป็นอะไร แสดงให้เห็นว่าผงจากรากรางจืดสามารถช่วยดูดซับสารพิษชนิดนี้ไว้ได้ (ใบ,ราก)

11. รางจืด สรรพคุณช่วยในการลดเลิกยาบ้า ซึ่งงานวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒพบว่ารางจืดมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทคล้ายๆกับฤทธิ์ของสารเสพติดอย่างแอมเฟตามีนและโคเคน ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยเพิ่มการหลั่งของฮอร์โมนโดพามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่หลั่งออกมามากในขณะที่ผู้ป่วยใช้สารแอมเฟตามีน ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยสารสกัดจากรางจืดนั้นเกิดความพึงพอใจ เช่นเดียวกับการใช้สารเสพติด และหากนำไปใช้ในการรักษากับผู้ป่วยก็จะทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องทุรนทุรายมากนัก ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการช่วยลดและเลิกการใช้เสพติดได้ (ใบ,ราก)

12. รางจืด แก้เมา สรรพคุณช่วยแก้อาการเมาค้าง แก้พิษจากแอลกอฮอล์ พิษจากการดื่มเหล้าในปริมาณมากเกินไป โดยคณะเภสัชศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ทำการศึกษาวิจัยฤทธิ์ของรางจืดในการต่อต้านพิษจากแอลกอฮอล์ต่อตับ และพบว่าสารสกัดด้วยน้ำของรางจืดนั้นสามารถช่วยป้องกันการตายของเซลล์ตับซึ่งเกิดจากพิษของแอลกอฮอล์และช่วยลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดได้ และมหาวิทยาลัยขอนแก่นก็ได้มีการศึกษาฤทธิ์ของรางจืดต่ออาการขาดเหล้า และพบว่าสารสกัดจากรางจืดช่วยทำให้ลดภาวะซึมเศร้า ทำให้พฤติกรรมที่เกี่ยวกับเคลื่อนไหวในหนูทดลองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น และยังช่วยลดการถูกลายเซลล์ประสาทของหนูเนื่องจากการเหล้าได้ แต่ไม่มีผลต่อการช่วยลดความวิตกกังวล (ใบ,ราก)

13. รางจืด เบาหวาน รางจืดช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมเบาหวานและความดันได้ จากงานศึกษาวิจัยของหมอชาวบ้านจำนวนหนึ่งได้ทำการทดลองในหนูเบาหวานที่ได้รับน้ำต้มจากใบรางจืด ได้ผลว่ามันสามารถช่วยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ยังพบว่าการให้สารสกัดด้วยน้ำของใบรางจืดมีฤทธิ์ช่วยลดน้ำตาลในเลือดและยังช่วยทำให้บีต้าเซลล์ของตับอ่อนฟื้นฟูขึ้นบ้างแม้จะไม่สมบูรณ์ และพบว่าสารสกัดจากน้ำของใบรางจืดนั้นมีผลทำให้ความดันโลหิตของหนูลดลง และช่วยทำให้หลอดเลือดแดงคลายตัว (การใช้สมุนไพรรางจืดในการรักษาโรคเบาหวานและความดันนั้น ควรรักษาร่วมไปกับแผนปัจจุบันและมีการวัดระดับน้ำตาลและระดับความดันอย่างใกล้ชิด เพราะการศึกษาวิจัยดังกล่าวนั้นอยู่ในขั้นตอนการทดลองกับสัตว์เท่านั้น รวมไปถึงต้องระวงการเกิดการเสริมฤทธิ์กันเองของตัวยาดังกล่าวด้วย)

14. รางจืดมีฤทธิ์ในการต่อต้านมะเร็ง โดยสารใดๆ ก็ตามที่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ศักยภาพสูงมันสามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้ แต่สำหรับข้อดีของรางจืดนั้นมันมีฤทธิ์ในการต้านไม่ให้สารชนิดดังกล่าวออกฤทธิ์ ซึ่งแตกต่างจากกวาวเครือ ที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นการแบ่งตัวและสร้างนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดงทำให้เม็ดเลือดแดงมีก้อนใหญ่ขึ้น

15. สารสกัดน้ำจากใบรางจืดมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูงมาก
16. ช่วยต่อต้านและแก้อาการอักเสบต่างๆ เช่น อาการผดผื่นคัน แมลงสัตว์กัดต่อย เริม งูสวัด อีสุกอีใส โดยจากการศึกษาพบว่ารางจืดนั้นมีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบสูงกว่ามังคุด ถึง 2 เท่า ! และยังมีความปลอดภัยสูงกว่าอีกด้วย นอกจากนี้สารสกัดจากรางจืดในรูปแบบชนิดครีมก็สามารถช่วยลดอาการอักเสบได้ดีเทียบเท่ากับครีมสเตียรอยด์ (ใบ,ราก)

ประโยชน์ของรางจืด
1. สมุนไพรรางจืด สมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูงมากชนิดหนึ่ง ซึ่งเราสามารถกินยอดอ่อน ดอกอ่อนเป็นผักได้ โดยจะใช้ลวกกิน แกงกิน ก็ทำได้เหมือนกับผักพื้นบ้านทั่วๆไป นอกจากนี้ยังนิยมกินน้ำหวานจากดอกรางจืดที่บ้านแล้วได้อีกด้วย โดนไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ แต่อย่างไรก็ตาม การกินรางจืดในปริมาณติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง อาจจะต้องคอยติดตามการเปลี่ยนแปลงของโลหิตวิทยาหรือเคมีคลินิกที่อาจเกิดขึ้นไปด้วย

2. ชารางจืด ใบรางจืดสามารถนำมาหั่นเป็นฝอย ตากลมให้แห้งแล้วนำมาชงกับน้ำร้อนดื่มแทนชาได้ ส่วนรสชาติที่ได้ก็ดีไม่แพ้กับใบชาเลยที่เดียว แถมยังมีกลิ่นหอมอีก และยังช่วยล้างพิษในร่างกายได้อีกด้วย

3. ในปัจจุบันได้มีการนำสมุนไพรรางจืดมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ แคปซูลรางจืด หรือ รางจืดแคปซูล เพื่อความสะดวกและง่ายต่อการใช้ประโยชน์

4. การปลูกรางจืดนอกจากจะใช้ประโยชน์ในด้านสมุนไพรแล้ว ก็ยังนิยมปลูกไว้เพื่อชมดอก แล้วก็ยังสามารถช่วยบังแสงแดดทำให้เกิดร่มเงาได้อีกด้วย (แต่อย่าลืมว่ารางจืดเป็นไม้เลื้อย เลื้อยแหลก เลื้อยจนรก เลื้อยแบบไร้การควบคุม)

คำแนะนำ
• รางจืดวิธีใช้ประโยชน์จากใบสดรางจืดในการรักษาพิษ หากใช้สำหรับคนให้ใช้ประมาณ 10-12 ใบ (แต่ถ้าใช้สำหรับวัวควายให้ใช้ 20-30 ใบ) เมื่อได้ใบสดให้นำมาตำจนละเอียดผสมกับย้ำซาวข้าวประมาณครึ่งแก้ว ว่านรางจืดวิธีรับประทานก็ง่ายๆ เพียงนำมาคั้นเอาแต่น้ำมาดื่มให้หมดทันทีที่มีอาการ และอาจจะต้องดื่มซ้ำอีกภายในครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงถัดมา

• การใช้ประโยชน์จากรากรางจืดในการรักษาพิษ หากใช้สำหรับคนให้ใช้ประมาณ 1-2 องคุลี (แต่ถ้าหากใช้กับวัวควายให้ใช้ประมาณ 2-4 องคุลี) เมื่อได้รากมาแล้วให้นำมาฝนหรือนำมาตำเข้ากับน้ำซาวข้าว แล้วนำมาดื่มให้หมดทันทีที่มีอาการ และอาจจะต้องใช้ซ้ำอีกภายในครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงเช่นเดียวกับการใช้ใบรางจืด

• สำหรับการใช้รางจืดเพื่อถอนพิษยาฆ่าแมลง สำหรับผู้ป่วยที่ดื่มยาฆ่าแมลง ใช้ถอนยาพิษ ยาเบื่อ และพิษจากสตริกนินนั้น ต้องใช้ยารางจืดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงจะได้ผลดี เพราะถ้ายาซึมเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมากหรือทิ้งไว้ข้ามคืนรางจืดก็จะได้ผลน้อยลงนั่นเอง

• รากของรางจืดนั้นจะมีสรรพคุณทางยามากกว่าที่ใบถึง 4-7 เท่า ! หากเป็นไปได้การเลือกใช้รากถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

• รางจืดที่จะมีประสิทธิภาพดีที่สุด ก็คือรางจืดชนิดเถาดอกสีม่วง

• ที่สำคัญดินที่นำมาใช้ในการปลูกรางจืด หากผสมด้วยขี้เถ้าแกลบหรือผงถ่านป่น ก็จะช่วยทำให้ต้นรางจืดนั้นมีสรรพคุณทางยาที่มากขึ้นไปอีก

• ข้อควรระวังในการใช้รางจืดก็คือ การใช้รางจืดมันร่วมกับตัวยาชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาในการรักษาอย่างต่อเนื่องก็ควรจะระวังไว้ด้วย เพราะรางจืดอาจจะไปขับยาเหล่านั้นออกจากร่างกายได้นั่นเอง

• แม้ว่ารางจืดจะสามารถช่วยล้างสารพิษได้จริง แต่ในปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อมูลในการวิจัยหรือเอกสารใดที่บ่งชี้ได้ว่า หากเราใช้ไปนานๆติดต่อกัน หรือใช้ในปริมาณที่มากเกินไปจะเกิดผลอย่างไรบ้าง ซึ่งจุดนี้นักวิชาการทางด้านนี้จึงไม่แนะนำที่จะให้รับประทานอย่างต่อเนื่อง ฉะนั้นคุณควรใช้เป็นครั้งคราวในยามที่จำเป็นหรือเมื่อต้องการที่จะรักษาโรค เมื่อได้ผลหรือหายดีแล้วก็ควรจะหยุดใช้ เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่เรายังไม่รู้และอาจจะเกิดขึ้นได้ และไม่เฉพาะแต่สมุนไพรรางจืดเท่านั้น สมุนไพรชนิดอื่นก็ด้วย เพราะเมื่อรับประทานเข้าไปในร่างกายแล้วยังไงก็ต้องผ่านกระบวนการทำงานของตับและไต ดังนั้นหากคุณใช้สมุนไพรติดต่อกันเป็นเวลานานก็ควรจะตรวจสุขภาพของตับและไตด้วย

• สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน การใช้ก็ควรจะระมัดระวังด้วยเพราะอาจจะทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้

• รางจืดผลข้างเคียง สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืด เมื่อเกิดอาการแพ้รางจืดก็อาจจะมีผลต่อระบบทางเดินหายใจได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่ามีระดับอาการแพ้มากน้อยน้อยแค่ไหน ถ้าหากมีอาการแพ้ไม่มากก็อาจจะเป็นแค่ผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง

• แม้ว่ารางจืดจะมีสรรพคุณที่ดีต่อร่างกายในการช่วยขับล้างสารพิษ แต่การนำมาใช้หรือนำมารับประทานก็ควรใช้อย่างพอดีและสมเหตุสมผล หากพิจารณาดูตัวเองหรือได้รับการวินิจฉัยจากผู้เชี่ยวชาญว่าร่างกายมีสารพิษมากเกินไป คุณก็สามารถรับประทานได้ แต่ก็ต้องรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมถูกต้องและถูกเวลา

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สะระแหน่ สรรพคุณ

สะระแหน่

สะระแหน่สรรพคุณ

สะระแหน่เป็นพืชล้มลุกลำต้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมเลื้อยไปบนดินหรือใต้ดินขยายกิ่งก้านสาขาออกไปโดยใช้ไหลหรือลำต้นใต้ดิน ใบรูปกลม ขอบใบหยัก สีเขียวเข้ม ไม่มีขน (ต่างจากพวก mint ของฝรั่งที่มีขนยาวกว่า)ดอกเกิดบนช่อดอก กลีบดอกสีขาว สะระแหน่เป็นพืชที่แพร่หลายในเขตอบอุ่น เป็นพืชที่มีน้ำมันหอมระเหย อันประกอบด้วยสารเมนธอล (Menthol) อยู่สูง จึงทำให้มีรสเย็นสดชื่อนั่นเอง

สะระแหน่ในฐานะสมุนไพรไทย

แพทย์แผนไทย นำเอาสะระแหน่มาปรุงเป็นยารักษาโรคได้หลายขนาน โดยระบุสรรพคุณว่า กลิ่นฉุนหอมร้อน สรรพคุณคือ แก้ปวดท้อง แก้จุกเสียด ขับผายลม แก้แน่น แก้ไอ ขับเสมหะ ขยี้ทาขมับ แก้ปวดศีรษะ ดมแก้ลม ทาแก้ฟกบวม นอกจากนี้ยังใช้เป็นกระสายแทรกแก้โรคเด็ก เช่น ทรางชัก และช่วยให้ผายลมได้ดี ลดอาการท้องขึ้น ท้องเฟ้อ โดยถ้าจะสรุปตามการประยุกต์ใช้สามารถนำไปใช้ได้ง่ายๆ ด้วยสูตรตามตำราสมุนไพรไทยดังนี้
รักษาอาการปวดศรีษะ ปวดฟัน เจ็บคอ เจ็บปาก เจ็บลิ้น โดยดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่ 5 กรัม กับน้ำ 1 ถ้วย ผสมเกลือเล็กน้อย วันละ 2 ครั้ง
รักษาอาการบิดท้องร่วง อุจจาระเป็นเลือด โดยนำใบสะระแหน่ต้มดื่มแต่น้ำ
แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย โดยตำใบสะระแหน่ให้ละเอียด พอกบริเวณที่โดนกัด
ช่วยห้ามเลือดกำเดาได้ โดยใช้สำลีชุบน้ำที่คั้นจากใบสะระแหน่ หยอดที่รูจมูก
รักษาอาการปวดหู โดยนำน้ำคั้นจากใบสะระแหน่หยอดหู จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ดี
รักษาอาการหน้ามือตาลาย โดยรับประทานน้ำต้มใบสะระแหน่และขิงสด

ประโยชน์ด้านอื่นๆนอกจากด้านสมุนไพรของสะแหน่

สะระแหน่เป็นสมุนไพรไทยที่มีกลิ่นหอม เพราะมีน้ำมันหอมระเหยอยู่มาก สามารถสกัดออกมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมยา เป็นต้น เนื่องจากสะระแหน่เป็นพืชในสกุลมินต์ จึงมีกลิ่นคล้ายเมนทอล อันเป็นส่วนประกอบสำคัญของลูกอมประเภทรสเย็นทั้งหลาย แม้สะระแหน่ไทยจะมีส่วนประกอบของเมนทอลอยู่ในน้ำมันหอมระเหยน้อยกว่ามินต์ชนิดอื่นๆ แต่สะระแหน่ก็มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ดีเด่นไม่แพ้มินต์ชนิดใด อนาคตคงมีการพัฒนานำเอากลิ่นสะระแหน่ไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น

วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2557

กวาวเครือขาว

ประโยชน์ของกวาวเครือขาว

สรรพคุณของกวาวเครือขาว
1.  ประโยชน์ของกวาวเครือขาวช่วยบำรุงผิวพรรณให้เต่งตึง เปล่งปลั่งสดใสนุ่มนวลเรียบเนียน
2.  เป็นสมุนไพรอายุวัฒนะ มีส่วนช่วยในการชะลอวัย
3.  ประโยชน์กวาวเครือขาวช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย และลดเลือนริ้วรอยบริเวณผิวหน้าและผิวกาย
4.  กวาวเครือขาวสรรพคุณช่วยขยายทรวงอกให้มีขนาดใหญ่ขึ้น แก้ปัญหาทรวงอกหย่อนคล้อยให้กลับมาเต่งตึงเหมือนเดิม
5.  ช่วยเพิ่มปริมาณเส้นผม และช่วยให้เส้นผมดกดำ
6.  ช่วยให้ผมขาวกลับคืนสภาพปกติ ลดการหลุดล่วงของเส้นผม
7.  ฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นมีส่วนช่วยลดความมันบนใบหน้า
8.  มีส่วนในการช่วยลดสิว ฝ้า กระ
9.  ชวยสมานริ้วรอยบนใบหน้าจากความหยาบกร้าน
10. ช่วยเพิ่มความกระชุ่มกระชวยให้กับร่างกาย
11. ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย
12. ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย เมื่อยล้าของร่างกาย
13. ช่วยให้นอนหลับสบาย
14. บำรุงสมอง ช่วยให้ความจำดีขึ้น
15. สำหรับผู้ที่ผอมแห้ง จะช่วยทำให้ดูอ้วนท้วมสมบูรณ์ขึ้น
16. ช่วยให้รับประทานให้มีรสชาติอร่อยขึ้น
17. ช่วยบำรุงโลหิต ทำให้มีพลัง
18. ช่วยป้องกันโรคตาฟาง และต้อกระจก
19. ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้
20. ช่วยบำรุงอวัยวะสืบพันธุ์ให้เจริญ
21. ใช้เป็นฮอร์โมนทดแทนในเพศหญิงได้ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
22. ช่วยรักษาอาการหมดประจำเดือนในวัยก่อนและหลังหมดประจำเดือน ที่มีอาการบกพร่องของฮอร์โมนเอสโตรเจน
23. ช่วยทำให้ช่องคลอดของหญิงวัยทองไม่แห้งด้วย
24. มีช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งเต้านม และมะเร็งมดลูก
25. แก้อาการปวดประจำเดือน ปัญหาประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ
26. ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
27. ช่วยให้การเคลื่อนไหวการเดินเหินคล่องแคล่วขึ้น
28. มีช่วยลดและรักษาอาการ vasomotor (อาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกกลางคืน)
29. สำหรับผู้ที่เคยมีบุตรแล้วจะช่วยทำให้ช่องคลอดกระชับขึ้น และช่วยลดปัญหาหน้าท้อง สะโพก ต้นขาลายได้
30. สำหรับผู้ที่มีบุตรยาก เชื่อว่าจะทำให้มีบุตรง่ายขึ้น
31. มีการศึกษาทดลองในสัตว์ต่างๆ (หนู สุนัข แมว) พบว่ากราวเครือขาวช่วยคุมกำเนิดได้ทั้ง 2 เพศ คือ ทำให้สัตว์เพศผู้ไม่อยากผสมพันธุ์ ส่วนเพศเมียช่องคลอดและมดลูกจะขยายใหญ่ทำให้การตกไข่ถูกยับยั้ง
32. ในการรับประทานไม่ควรหวังผลในการเพิ่มทรวงอก หรือบำรุงสมรรถภาพทางเพศ เพราะยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันทางด้านความปลอดภัยและคุณสมบัติอย่างชัดเจน แต่ควรใช้เพื่อบำรุงร่างกาย แก้ปัญหาประจำเดือนซะมากกว่า
33. นำมาผลิตเป็นกวาวเครือขาวแคปซูล และกวาวเครือขาวแบบครีมเพื่อช่วยขยายหน้าอก

กวาวเครือขาวผลข้างเคียง
1.  ตำรายาแผนโบราณระบุไว้ว่า คนหนุ่มสาวห้ามรับประทาน (ในที่นี้หมายถึงผู้ที่มีอายุน้อยกว่า20 ปี)
2.  ห้ามใช้ในหญิงวัยเจริญพันธุ์ เพราะตัวยาอาจจะไปรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเพศและระบบประจำเดือนได้ หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
3.  เด็กหญิงวัยก่อนมีประจำเดือน ไม่ควรรับประทาน
4.  สตรีที่อยู่ในระหว่างให้นมบุตร ไม่ควรรับประทาน
5.  ผู้ที่เป็นโรคมะเร็ง เนื้องอก หรือเป็นโรคต่อมไทรอยด์โต ไม่ควรรับประทาน
6.  ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับทรวงอก มดลูกและรังไข่ เช่น เป็นซีสต์ พังผืด เนื้องอกเป็นก้อน มะเร็ง ก็ไม่ควรรับประทาน
7.  ผู้ที่ดื่มสุรา และมีประวัติเป็นโรคตับเป็นพาหนะไวรัสตับอักเสบบีที่มีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูง ก็ไม่ควรรับประทาน
8.  กวาวเครือขาวอันตรายไม่ควรรับประทานในปริมาณมากและต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานหรือติดต่อกันนานกว่า 2 ปี
9.  ห้ามรับประทานเกินขนาดที่แนะนำ (ไม่เกินวันละ 100 mg.)
10.ห้ามรับประทานของหมักดองเปรี้ยว ดองเค็ม (ตำราแผนโบราณ)
11.ควรอาบน้ำวันละ 3 ครั้ง (ตำราแผนโบราณ)
12.ห้ามไม่ให้ตากอากาศเย็นเกินไป (ตำราแผนโบราณ)
13.ฮอร์โมนเหล่านี้หากได้รับมากจนเกินไปอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้
14.โทษของกวาวเครือขาว อาจจะทำให้เยื่อหุ้มอัณฑะหนาตัวและอาจเป็นมะเร็งอัณฑะในเพศชายได้ หากรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน
15.อันตรายจากกวาวเครือขาวในเพศหญิงอาจมีผลทำให้เต้านมแข็งเป็นก้อนหรืออาจทำให้เกิดเนื้องอกจนเป็นมะเร็งเต้านมได้ หากรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน
16.กวาวเครือนั้นมีพิษทำให้เมาเบื่อตัวเองการรับประทานมาเกินไปอาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืดได้ ด้วยเหตุนี้ควรรับประทานสมุนไพรที่มีส่วนช่วยป้องกันหรือรักษาอาการท้องอืดร่วมด้วย เช่น พริกไทย เป็นต้น
17.หากรับประทานกราวเครือขาวแล้วอาจจะทำให้ประจำเดือนมามากกว่าปกติ จนบางท่านรู้สึกกังวล แต่การที่ประจำเดือนมามากนี้ก็ถือเป็นผลดีต่อร่างกายในการขับของเสียทำให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น จึงไม่ต้องเป็นกังวล
18.สามารถใช้ครีมบำรุงทรวงอก (Breast Cream) ร่วมกับกราวเครือขาวได้ในการเพิ่มขนาดทรวงอกได้
19กวาวเครือขาว ผลข้างเคียงและอาการอื่นๆที่พบได้ทั่วไป เช่น เจ็บคัดเต้านม ปวดศีรษะ คลื่นไส้ มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด เป็นต้น

แหล่งอ้างอิง : คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (www.thaicrudedrug.com)

ประโยชน์ของถั่วดำ 40 ประการ



ประโยชน์ของถั่วดำ 40 ประการ


1.ถั่วดำมีรสหวาน สรรพคุณช่วยบำรุงโลหิต

2.ช่วยบำรุงสายตา

3.ช่วยขจัดพิษในร่างกาย

4.ช่วยขับเหงื่อ

5.ถั่วดำ สรรพคุณช่วยแก้อาการร้อนใน

6.ช่วยรักษาดีซ่าน

7.ถั่วดำ มีสารที่ช่วยบรรเทาอาการปวดลำไส้เล็ก

8.ช่วยขับลมในกระเพาะ

9.ช่วยขับของเหลวในร่างกาย

10.ช่วยบำรุงไต ป้องกันไตเสื่อม

11.ช่วยแก้อาการบวมน้ำ

12.ช่วยแก้อาการเหน็บชา

13.ช่วยแก้อาการปวดเอว

14.ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย

15.ช่วยบำรุงหัวใจ

16.ถั่วดำอุดมไปด้วยแคลเซียม ซึ่งช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ทำให้กระดูและฟันแข็งแรง

17.นอกจากถั่วดำจะให้โปรตีนแล้ว แล้วยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์หรือเส้นใย ซึ่งช่วยในการขับถ่าย และป้องกันอาการท้องผูก

18.ถั่วดำ มีคุณสมบัติในการช่วยลดความอ้วนได้ เนื่องจากในถั่วดำมีสัดส่วนของโปรตีนถึง 40% และมีกรดไขมันไม่อิ่มตัว 20% โดยอุดมไปด้วยสารลดความอ้วน และสารที่ช่วยกำจัดสารพิษ

19.ช่วยควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากเส้นใยที่มีมากในถั่วจะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มท้องได้นานขึ้น และทำให้ร่างกายมีพลังงานสม่ำเสมอ

20.ในถั่วดำมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็ง รวมไปถึงโรคในผู้ใหญ่ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือบทบาทการช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ถึงร้อยละ 40 และมะเร็งลำไส้ตรงได้ถึงร้อยละ 80 นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งในกระเพาะอาหารได้ด้วย ซึ่งจากงานวิจัยระบุว่าผู้ที่รับประทานบ่อยๆ จะมีความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารน้อยกว่าผู้ที่ได้รับประทานถึงร้อยละ 30 รวมไปถึงฤทธิ์ในการป้องกันมะเร็งปอดได้ถึงร้อยละ 50

21.ถั่วดำมีสารไอโซฟลาโวนส์ ซึ่งเป็นสารที่ช่วยป้องกันเซลล์เจริญเติบโตผิดปกติ จากปัญหาการหลั่งฮอร์โมนผิดปกติจนกลายเป็นโรคอ้วน และยังช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก อันมีสาเหตุมาจากการหลั่งฮอร์โมนแอนโดรเจน หรือฮอร์โมนเพศชาย มากเกินไปได้

22.ถั่วดำมีสารที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์โปรติเอส ซึ่งช่วยป้องกันและลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งได้ ช่วยมะเร็งเต้านม และยังส่งผลดีต่อฮอร์โมนเพศหญิงอีกด้วย

23.ช่วยยับยั้งโรคเบาหวาน เนื่องจากเส้นใยในถั่วดำเป็นเส้นใยชนิดละลายน้ำ จึงช่วยลดความเร็วของการดูดซึมกลูโคสให้ดูดซึมในร่างกายช้าลง จึงสามารถยับยั้งโรคเบาหวานได้

24.ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

25.ช่วยป้องกันและรักษาโรคโลหิตจาง เนื่องจากถั่วดำอุดมไปด้วยวิตามินบี12 วิตามินบี9 หรือกรดโฟลิก และเบต้าแคโรทีน แถมยังมีธาตุเหล็กที่สูงกว่าเนื้อสัตว์ถึง 4 เท่า มันจึงมีประโยชน์โดยตรงต้อผู้เป็นโรคโลหิตจางอย่างมาก

26.ถั่วดำอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ที่ช่วยบำรุงโลหิต และเป็นส่วนหนึ่งของสารในเม็ดเลือดแดงที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย จึงช่วยป้องกันภาวะขาดธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง สมองไม่ดี หรือคิดอะไรไม่ค่อยออก ฯลฯ

27.ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและช่วยลดคอเลสเตอรอล เนื่องจากถั่วดำอุดมไปด้วยวิตามินอีและโพแทสเซียมที่ช่วยลดความดันโลหิต ด้วยการขยายเส้นโลหิตให้กว้างมากขึ้น ทั้งยังมีแคลเซียมที่ช่วยทำให้กล้ามเนื้อของเส้นเลือดเกิดความยืดหยุ่นมากขึ้นอีกด้วย

28.ช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ซึ่งจากผลการวิจัยระบุว่าผู้ที่รับประทานถั่วดำในปริมาณมากกว่าจะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่รับประทานถั่วดำน้อยกว่าหรือไม่รับประทานเลย

29.ล้างพิษด้วยถั่วดำ ถั่วดําช่วยล้างพิษในร่างกาย เนื่องจากถั่วดำมีสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นถั่วที่มีสารล้างพิษที่มีปริมาณสูงสุด และยังมีสารสำคัญอย่างแอนโทไซยานินที่เป็นสารล้างพิษที่ดี โดยเมื่อเทียบกับผลไม้อย่างส้มแล้ว พบว่าถั่วดำจะมีปริมาณของสารล้างพิษมากกว่าส้มถึง 10 เท่า ! แต่การทำให้ถั่วดำสุกจะสูญเสียสารล้างพิษไปบ้าง แต่ก็ยังสามารถช่วยล้างพิษในร่างกายได้อย่างประสิทธิภาพ

30.การรับประทานถั่วดำเป็นประจำ ช่วยส่งผลดีต่อสุขภาพผิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ช่วยทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส ช่วยเพิ่มความกระชับ ทำให้ผิวหน้าดูมีชีวิตชีวา อีกทั้งยังช่วยลดเลือนรอยแดงจากสิว ป้องกันการเกิดกระบนผิว เพราะอุดมไปด้วยวิตามินอี และสารแอนโทไซนานินที่ช่วยเพิ่มการทำงานของคอลลาเจน

31.มีคำกล่าวว่าการรับประทานถั่วจะช่วยทำให้ฉลาดขึ้น ซึ่งก็ใกล้เคียงกับความจริง เนื่องจากมีสารเลซิตินที่ช่วยบำรุงสมอง ช่วยในการทำงานของสมอง จึงมีผลดีต่อผู้ที่ต้องใช้ความจำ และสำหรับคนชราก็สามารรถช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ด้วย

32.ถั่วดำยังเป็นแหล่งสำคัญของธาตุโบรอน (Boron) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการส่งกระแสประสาทของสมอง ทำให้ช่วยสมองทำงานได้ฉับไวขึ้น

33.ช่วยแก้ปัญหาอาการนอนไม่หลับ ด้วยการนึ่งถั่วแล้วไส้ไว้ในหมอน ขณะที่ยังอุ่นๆ ก็จะช่วยแก้อาการนอนไม่หลับได้

34.ถั่วดำเป็นแหล่งอาหารจากธรรมชาติที่มีโฟเลทสูง มีความสำคัญอย่างมากสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เพราะช่วยป้องกันการพิการแต่กำเนิดของทารกได้ นอกจากนี้ยังมีธาตุเหล็กที่ช่วยลดอาการอ่อนเพลียของสตรีขณะตั้งครรภ์ได้อีกด้วย

35.เมล็ดถั่วดำมีคุณค่าทางอาหารที่สูงใกล้เคียงพอๆ กับเมล็ดถั่วเขียว

36.ถั่วดำสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย แต่น้อยกว่าถั่วเขียว เช่น ในญี่ปุ่นจะนำไปใช้เพื่อเพาะถั่วงอกเป็นหลัก ส่วนอินเดียนิยมนำไปทำถั่วซีก ตลอดจนใช้บริโภคทั้งเมล็ด ด้วยการใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารจำพวกซุปหรือแกงต่างๆ หรือใช้ในอาหารประเภทหมัก ส่วนในบ้านเราจะใช้ทำงอกเป็นหลักและทำแป้ง เป็นต้น

37.ถั่วดำอุดมไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคโรทีน วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

38.เปลือกหุ้มเมล็ดมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งสามารถนำมาใช้แต่งสีขนมต่างๆ ได้ เช่น ขนมถั่วแปป แป้งจี้ เป็นต้น ด้วยการนำเมล็ดถั่วดำมาล้างให้สะอาด แล้วนำไปต้มเคี่ยวกับน้ำแล้วจะได้น้ำที่มีสีม่วง

39.เมล็ดถั่วดำเมื่อนำมาบดกับแป้งใช้ทำเป็นขนมได้ เช่น ขนมลูกชุบ ขนมเปี๊ยะ เป็นต้น

40.ถั่วดำเป็นพืชทนแล้ง สามารถปลูกได้ในดินแทบทุกชนิด มักนิยมใช้ปลูกเป็นพืชรองในปลายฤดูฝน ตามหลังพืชหลัก เช่น ถั่วเหลือง หรือข้าวโพดโดยเป็นพืชที่มีบทบาทในด้านเศรษฐกิจของประเทศเช่นเดียวกับถั่วเขียว

ประโยชน์ของถั่วเขียว




ประโยชน์ของถั่วเขียว 49 ประการ


1.โพแทสเซียมช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อในร่างกายให้แข็งแรง

2.ถั่วเขียวมีสารต้านเอนไซม์โปรตีเอสในปริมาณสูง ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านมะเร็ง

3.ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันและรักษาไข้หวัด

4.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยแมกนีเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยในการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย ช่วยผลิตโปรตีน และกาดหดตัวข้องกล้ามเนื้อ

5.ช่วยลดความดันโลหิต

6.ช่วยทำให้เจริญอาหาร

7.ช่วยลดระดับไขมันและคอเลสเตอรอล ช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือด ควบคุมน้ำหนักได้ เพราะถั่วเขียวมีส่วนประกอบของไขมันที่ต่ำมาก ไม่มีคอเลสเตอรอล และยังอุดมไปด้วยโปรตีนกับเส้นใยอาหาร

8.ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ

9.ถั่วเขียวมีฤทธิ์เย็น ออกฤทธิ์ตามเส้นลมปราณของหัวใจและม้าม

10.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยธาตุเหล็กซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดแดงในร่างกาย

11.ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและเบาหวานได้

12.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง และยังช่วยป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย

13.ช่วยขับร้อน แก้อาการร้อนใน และช่วยแก้พิษในฤดูร้อน

14.ถั่วเขียวมีประโยชน์ต่อลำคอและผิวหนัง และยังช่วยแก้อาการกระหายน้ำได้อีกด้วย

15.เมล็ดถั่วเขียวนำมาต้มกับเกลือ ใช้อมเพื่อรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้

16.ช่วยถอนพิษในร่างกาย

17.ช่วยกระตุ้นประสาท ถั่วเขียวเป็นแหล่งสำคัญของธาตุโบรอน (Boron) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการส่งกระแสประสาทของสมอง ทำให้ช่วยสมองทำงานได้ฉับไวมากขึ้น และยังอุดมไปด้วยฟอสฟอสรัส ที่ช่วยบำรุงเซลล์ประสาทและสมอง

18.ช่วยบำรุงสายตา ทำให้ตาสว่าง และรักษาตาอักเสบ (เปลือกสีเขียว) ช่วยแก้อาการตาพร่า ตาอักเสบ ด้วยการรับประทานถั่วเขียวต้มครั้งละ 15-20 กรัมเป็นประจำ

19.ช่วยรักษาคางทูมที่เป็นใหม่ๆ ด้วยการต้มถั่วเขียว 70 กรัมจนใกล้สุก แล้วใส่แกนกะหล่ำปลีลงไป / หัวต้มอีก 15 นาที กินเฉพาะน้ำวันละ 2 ครั้ง

20.ช่วยแก้อาการอาเจียนจากการดื่มเหล้า ด้วยการดื่มน้ำถั่วเขียวพอประมาณ

21.ช่วยขับของเหลวในร่างกาย

22.ในถั่วเขียวอุดมไปด้วยเส้นใยที่สามารถละลายน้ำได้ดี จึงช่วยในขบวนการทำความสะอาดของร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ

23.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยวิตามินบี2 ที่ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอกได้

24.ถั่วเขียวมีเส้นใยอาหารสูงจึงช่วยในการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และยังส่งผลดีต่อระบบลำไส้โดยรวมอีกด้วย

25.เมล็ดถั่วเขียวนำมาต้มแล้วกินใช้เป็นยาขับปัสสาวะ

26.ช่วยแก้ลำไส้อักเสบ

27.ช่วยบำรุงตับ

28.ช่วยแก้อาการไตอักเสบ

29.ช่วยแก้ผดผื่นคัน

30.ช่วยลดบวม

31.ช่วยรักษาโรคข้อต่างๆ แก้ขัดข้อ

32.ช่วยรักษาฝี ด้วยการใช้ถั่วเขียวดิบหรือต้มสุก นำมาใช้ตำแล้วพอกเป็นยารักษาภายนอกช่วยในการบ่มหนองให้ฝีกสุก และยังใช้รักษาอาการอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น แก้ท้องร่วง การคลอดบุตรยาก และโรคท้องมาน

33.นำมาใช้ตำพอกแผล

34.ช่วยแก้พิษจากพืช พิษจากสารหนู และพิษอื่นๆ

35.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยวิตามินบี1 ที่ช่วยในการป้องกันโรคเหน็บชาได้เป็นอย่างดี

36.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยโฟเลทสูง ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เพราะช่วยป้องกันการพิการแต่กำเนิดของทารกได้

37.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยรักษาและสร้างความแข็งแรงให้กับเซลล์ผิวหนัง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวและยังช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะอีกด้วย

38.สำหรับผู้ที่เป็นสิวฝ้า เนื่องจากความร้อนในร่างกาย ให้รับประทานถั่วเขียวต้มน้ำตาล 1 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยป้องกันการเกิดสิวและทำให้สิวลดลงได้ เนื่องจากถั่วเขียวมีฤทธิ์เย็น ช่วยตับขับสารพิษกับความร้อนออกจากร่างกายได้

39.ถั่วเขียวดิบเป็นแหล่งของโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตชั้นยอด สามารถนำมาต้มกับน้ำตาลเพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย และทำให้อิ่มท้องได้นานยิ่งขึ้น

40.ถั่วเขียวมีโปรตีนสูงเมื่อเทียบกับถั่วเมล็ดแห้งชนิดอื่นๆ และยังเป็นโปรตีนที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ ซึ่งโปรตีนที่ได้จากพืช จะช่วยหลีกเลี่ยงการได้รับไขมันที่เกินความจำเป็นจากโปรตีนของเนื้อสัตว์ได้อีกด้วย

41.โปรตีนจากถั่วเขียวมีคุณสมบัติที่ย่อยง่ายและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายเกือบทั้ง

42.ถั่วเขียวสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้แทบทุกส่วน โดยเมล็ดใช้เป็นอาหารของมนุษย์และสัตว์ ส่วนลำต้นและเปลือกที่เหลือ สามารถนำมาไถกลบลงดิน เพื่อช่วยบำรุงดินให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เนื่องจากมีชีวมวล (Biomass)

43.ต้นถั่วเขียวที่เก็บฝักแล้ว สามารถนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้เป็นอย่างดี แถมยังมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าหญ้าอีกด้วย

44.ถั่วเขียว สามารถนำมาแปรรูปและใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย เช่น การนำมาใช้เพาะถั่วงอก หรือใช้ทำแป้งถั่วเขียว ทำวุ่นเส้น ทำซาหริ่ม หรือทำเป็นขนมต่างๆ เช่น ถั่วกวน เต้าส่วน เม็ดขนุน ถั่วแปบ ขนมลูกเต๋า ถั่วเขียวต้มน้ำตาล ทำข้าวเกรียบ ขนมครองแครง ขนมหันตรา ขนมลูกชุบ ขนมเทียนแก้ว ขนมเปียก ขนมกง ฯลฯ และฝักถั่วเขียวที่เกือบแก่ ยังนำมาใช้ต้มกับเกลือใช้กินเมล็ดได้เช่นเดียวกับถั่วแระ

45.กากถั่วเขียวเหลือจากโรงงานวุ้นเส้นสามารถนำมาใช้ทำเป็นอาหารสัตว์ หรือใช้ทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ได้

46.วุ้นเส้นที่ผลิตมาจากถั่วเขียวมีคุณสมบัติการตอบสนองต่อน้ำตาลในเลือดต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับอาหารคาร์โบไฮเดรตอื่นๆ อย่างเช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว หรือเส้นหมี่ เส้นก๋วยเตี๋ยว มันจึงเหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน

47.ถั่วเขียวยังสามารถนำมาใช้ในด้านความงามได้อีกด้วย โดยทำเป็นสครับถั่วเขียว สูตรทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น โดยไม่ทำลายผิวพรรณ เพราะมีค่า pH เท่ากับผิวกาย และช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของผิว อีกทั้งกลิ่นจากถั่วเขียวยังช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้อีกด้วย วิธีการทำสครับก็คือให้นำถั่วเขียวที่ยังไม่ต้มมาบดพอให้หยาบผสมกับน้ำเปล่าเล็กน้อย หรือน้ำผึ้งก็ได้ แล้วนำมาพอกที่ใบหน้าหรือผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วจึงล้างออก

48.ถั่วเขียวกับสูตรลดเลือนจุดด่างดำ หรือรอยแผลสิว รวมไปถึงรอยแผลที่เกิดจากผื่นคันตามร่างกาย ด้วยการใช้ถั่วเขียว 3 ช้อนโต๊ะ, มันฝรั่ง 1 หัว, และน้ำมันมะกอก 2 ช้อนชา ขั้นแรกก็ให้นำถั่วเขียวและมันฝรั่งมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำไปต้มจนสุก จากนั้นให้นำถั่วเขียวและเนื้อมันฝรั่งมาบดรวมกันแล้วเติมน้ำมันมะกอกลงไปผสมจนเข้ากัน เสร็จแล้วนำมาใช้ขัดผิวบริเวณที่จุดด่างดำ โดยใช้เวลาขัดอย่างน้อย 5 นาทีแล้วล้างออก

49.ถั่วเขียวยังถูกนำมาใช้ในการพอกหน้าขัดหน้าและขัดตัวเพื่อช่วยบำรุงผิวพรรณ ดูดซับไขมัน ช่วยลดสิว ป้องกันการเกิดสิว และช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ทำให้ใบหน้าเต่งตึง