วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ดื่มกาแฟอย่างชาญฉลาด เพื่อสุขภาพ



ในสมัยนี้จะเรียกว่าเป็นยุคของ “กาแฟ” ก็ไม่ผิด เพราะเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของคนทุกเพศทุกวัย

ในวันนี้เราจะมาดูกันว่า ดื่มกาแฟอย่างไร ให้ร่างกายได้รับประโยชน์มากที่สุด


5 วิธีดื่มกาแฟอย่างชาญฉลาด เพื่อสุขภาพ

1. ดื่มวันละแก้วก็เพียงพอแล้ว

ถึงแม้จะชื่นชอบกาแฟมากเพียงใด แต่การทำอะไรมากเกินไปย่อมเกิดผลเสีย การดื่มกาแฟวันละแก้ว น่าจะพอดีแล้วกับร่างกาย หรืออาจเพิ่มอีกแก้วในบางวันที่ต้องการความกระปรี้กระเปร่า แต่ถ้ามากกว่านี้แล้วละก็ บอกได้เลยว่ากาเฟอีนจะท่วมร่าง นอนไม่หลับเอาง่ายๆ


2. อย่าดื่มตอนท้องว่าง

เพราะกาเฟอีน (รวมทั้งในชา) จะไปเร่งให้ท้องที่ว่างๆ นั้นหลั่งกรดออกมา ผลคือกรดจะเพิ่มขึ้นในกระเพาะเปล่าๆ ชวนให้ไม่สบายท้อง และจะเป็นโรคกระเพาะอาหารเอาได้ ทางที่ดีควรดื่มพร้อมอาหารอะไรบ้าง ไม่ว่าขนมปังหรือเค้กสักชิ้น จะได้ดูแลท้องไปด้วยไงล่ะ


3. เลี่ยงการเข้าห้องน้ำบ่อย

ด้วยการจิบน้ำเปล่าตามหลังกาแฟสักหน่อย จริงอยู่การเติมน้ำเข้าร่างกายทำให้เราต้องเข้าห้องน้ำแต่สังเกตกันบ้างหรือเปล่าว่ากลิ่นที่ออกมาจะเป็นกลิ่นกาแฟ้-กาแฟ นั่นเพราะกาเฟอีนมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ โดยไปลดการดูดกลับของโซเดียม โพแทสเซียม และแคลเซียมจากหน่วยไตที่ถูกขับออกมาพร้อมปัสสาวะ ทางที่ดีดื่มน้ำตามเสียหน่อยให้เจือจางอาจทำให้เบาบางลงได้


4. ดื่มกลางวันดีกว่านะ

เพราะหากเป็นมื้อค่ำที่ร่างกายเตรียมจะพักแล้วละก็ บอกได้เลยว่าคืนนี้นอนนับแกะหลายร้อยตัวแน่ การดื่มกาแฟจึงควรดื่มให้รู้สึกสดชื่นตอนเช้าหรือระหว่างวันจะดีกว่า จะดื่มรสชาติแบบไหนไม่มีใครว่าอยู่แล้ว


5. แก้วนี้ต้องไม่อ้วน

ใครดื่มกาแฟดำได้ยิ่งแจ๋ว เพราะไม่อ้วนแน่นอน แต่ถ้าติดหวานและกลัวอ้วน เติมน้ำตาลเล็กน้อย (หรือแบบน้ำตาลเทียม) ก็สามารถทำได้ ที่แน่ๆ เลี่ยงความหวานชนิดนมข้นหวาน ครีมต่างๆ รวมทั้งครีมเทียม กินแบบเบาๆ ใสๆ นี่ล่ะ เฮลตี้กว่าเยอะ

ที่มา : lisaguru

กินอาหารอย่างไรไม่ให้อ้วน


การให้ความสำคัญกับการเลือกทานอาหารเป็นเรื่องที่ดี เพื่อให้มีร่างกายที่ แข็งแรง สัดส่วนที่เหมาะสม แต่บางครั้งเราหันไปให้ความสนใจ กับมื้ออาหารนอกบ้าน ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเราสามารถเริ่มต้นง่ายๆ ได้ที่บ้านของเราเอง สิ่งสำคัญของการรักษารูปร่างไม่ได้หมายถึงการอดอาหาร แต่หมายถึง การรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการในสัดส่วนที่เหมาะสมให้ครบทุกมื้อ และนี่คือ 7 วิธีง่ายๆ ที่มาแนะนำ เกี่ยววิธีการกินอาหารอย่างไรไม่ให้อ้วน โดยเริ่มจากที่บ้านของคุณเอง

1. กินผลไม้ให้มากขึ้น พยายามรับประทานผลไม้วันละ 3-4 ผลกลางเช่น กล้วย ส้ม หรือจะเป็นฝรั่งครึ่งลูก มะละกอ 6 ชิ้น โดยอาจจะใช้ตบท้ายหลังมื้ออาหาร หรือจะใช้เป็นอาหารว่างช่วงสายและช่วงบ่าย การกินผลไม้แบบผลได้ประโยชน์กว่าการดื่มในรูปแบบน้ำผลไม้ เพราะคุณจะได้สารอาหารที่หลากหลายทั้งวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหาร เมื่อเทียบกับน้ำผลไม้สำเร็จรูปที่มักจะเสริมความหวานด้วยน้ำตาลมากเป็นหลัก ใยอาหารน้อย และวิตามินตามธรรมชาติต่างๆ ที่อาจสูญเสียไปในขั้นตอนการผลิตที่ใช้ต้องความร้อน

2. กินผักมากขึ้น ผักและผลไม้ให้วิตามิน เกลือแร่ สารต้านอนุมูลอิสระ และใยอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ดังนั้นควรบริโภคผักในปริมาณวันละ 4-5ทัพพีโดยเลือกผักตามฤดูกาลที่หารับประทานได้ง่ายและ ลดโอกาสการปนเปื้อนจากปุ๋ยหรือสารเคมี ลองซื้อผักเหล่านี้ติดตู้เย็นของคุณไว้ตลอด เช่น มะเขือเทศ แครอท กะหล่ำปลีและผักใบเขียวอื่น ๆ ซึ่งสามารถกินได้ทั้งสดๆ แบบบสลัด หรือจะทำเป็นเมนูผัดกับซอสหอยนางรมก็อร่อยได้ไม่ยาก

3. เลือกรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชเต็มเมล็ด และถั่วเปลือกแข็งเพิ่มมากขึ้น อุดมไปด้วยวิตามินแร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ และใยอาหาร ลองเพิ่มสัดส่วนของธัญพืชเต็มเมล็ดแทนธัญพืชขัดขาวที่เคยกินอยู่ เช่น หุงข้าวผสมข้าวกล้องกับข้าวขัดขาว กินขนมปังโฮลวีทสีน้ำตาลแทนขนมปังขาว เพิ่มสัดส่วนของซีเรียลแบบโฮลเกรนในมื้อเช้า เป็นต้น นอกจากนี้ หาถั่วเปลือกแข็งเช่น อัลมอลต์ ใส่ขวดโหลสวยๆ วางไว้ในห้องนั่งเล่น ก็จะทำให้ทุกคนในบ้านมีขนมกินเล่นที่มีประโยชน์แทนขนมกรุบกรอบที่มักมี โซเดียม (เกลือ) และไขมันสูง

4. รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ อาหารเช้าเป็นอาหารที่เราละเลยมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยเกี่ยวกับการลดน้ำหนักที่ประสบความสำเร็จแสดงให้เห็น ว่าการกินอาหารเช้าเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะจะทำให้หลีกเลี่ยงการกินจุบจิบในช่วงสายๆ หรือการกินมื้อเที่ยงแบบจัดหนัก อาหารเช้าที่ดี ควรมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนซึ่งให้พลังงานได้อย่างยาวนาน เช่น อาหารเช้าประเภทซีเรียลโฮลเกรนกับนมไขมันต่ำ เสริมด้วยผลไม้สดอย่างกล้วยซัก 1 ผล เป็นต้น

5. จำกัดปริมาณไขมันอิ่มตัว เป็นที่ยอมรับกันว่าไขมันอิ่มตัวนั้นให้โทษต่อหลอดเลือดและหัวใจของคนเรา ดังนั้น การลดปริมาณอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวก็เป็นการดูแลสุขภาพที่ไม่ควรละเลย เช่น การลด กะทิ เนย เนื้อแดง (เนื้อวัว หรือเนื้อหมูติดมัน) อาหารทอดกรอบๆ แล้วเปลี่ยนเป็นอาหารที่มีไขมันชนิดที่ดีต่อสุขภาพ เช่นไขมันไม่อิ่มตัว ไขมันเชิงเดียว อย่าง น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก เนื้อปลา ถั่วอัลมอลต์ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เป็นต้น

6. จำกัดปริมาณ ไขมันทั้งหมด แม้ว่าการเลือกที่จะตัดเจ้าไขมันอิ่มตัวทั้งหมดออก แต่คุณต้องแน่ใจว่าคุณไม่กินไขมันอื่นๆ มากเกินไปด้วย โดยการเลือกเนื้อสัตว์ส่วนที่มีไขมันน้อย หรือลดอาหารประเภททอด หรือการผัดด้วยน้ำมัน มาเป็นการปรุงด้วยวิธี ต้ม นึ่ง ยำ ย่าง ตุ๋น อบ เช่น การเปลี่ยนจากไข่เจียว มาเป็นไข่ต้ม หรือการเลือกเนื้อไก่ส่วนอกแทนส่วนสะโพก ซึ่งทำให้คุณได้ไขมันน้อยลงถึง 50%

7. เลือกรับประทานอาหารที่ทำจากนมพร่องมันเนย นมไม่ได้จำเป็นสำหรับเด็กเท่านั้น ตามหลักโภชนาการแล้ว ผู้ใหญ่เองก็ควรดื่มนมทุกวัน วันละ 1 แก้ว เพียงแต่ต้องเลือกเป็นนมไขมันต่ำ หรือพร่องมันเนย หรืออาจสลับเป็น โยเกิร์ตไขมันต่ำ น้ำตาลน้อย ชีส ไอศกรีมนม เพราะมันจะทำให้คุณได้รับแคลเซียม วิตามินดีและสารอาหารอื่น ๆที่จำเป็นต่อกระดูกที่เข็งแรง

อย่าลืม 7 ข้อนี้ ในทุกๆครั้งที่สั่งอาหารมารับประทานหรือวางแผนที่จะปรุงอาหารรับประทานเอง คุณก็มีสุขภาพที่ดีได้

ที่มา : goodfoodgoodlife.in.th

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

น้ำใบย่านาง มีสารคลอโรฟีลล์



ใบย่านาง
มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารมากมาย วิตามินเอ,วิตามิซีโปรตีน, คาร์โบรไฮเดรด,ไขมัน, แคลเซียม,ฟอสฟอรัส ,เหล็ก, ไนอาซีน, ใยอาหาร 
          ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า น้ำคั้นจากใบย่านาง มีสารคลอโรฟีลล์ (Chlorophyll) ช่วยปรับความสมดุลของร่างกาย มีฤทธิ์เย็น เด็ดใบมาคั้นน้ำเป็นน้ำซุบ ปรุงอาหารได้หลายอย่าง จะใช้น้ำที่คั้น ผสมลงในอาหาร เช่น แกงอ่อมต้มแชบ ,ซุบหน่อไม้ 
          
ประโยชน์ ของสารคลอโรฟีลล์ (Chlorophyll) ที่ร่างกายได้รับ

•ทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจากการอ่อนเพลีย

• ลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบ

• ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน

•สร้างภูมิคุ้มกัน โรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ

• ขับกรดจากข้อต่อต่างๆ ทำให้อาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว

• ขับสารพิษออกจากร่างกาย สารตกค้างของยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้างในอาหาร ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี สุขภาพแข็งแรง สดชื่นขึ้น

• เพิ่มประสิทธิภาพเม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้ระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น

• ป้องกันการเจริญเติมโตของเซลล์มะเร็ง

• ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย, การใช้รักษาแผลอักเสบ, แผลเปื่อย, แผลเรื้อรัง, แผลถลอก, แผลไฟไหม้, เหงือกอักเสบ, แผลในปาก

• บรรเทาอาการปวดศีรษะทั่วไป และปวดศีรษะไมเกรนได้

• ช่วยให้ผู้ที่เป็นต้อกระจกมองเห็นได้ดีขึ้น

• มีสารอาหารบำรุงเส้นผม ทำให้ผมหงอกดำขึ้น ช่วยลดอาการผมร่วง


การทำน้ำย่านาง ล้างใบย่านางให้สะอาด

เด็ด ใช้ใบย่านาง 1-5 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
ผู้ใหญ่ ใช้ใบย่านาง 10-20 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว


ใบย่านาง



ใบย่านางสดโขลกให้ละเอียดแล้วเติมน้ำหรือ ขยี้ใบย่านางกับน้ำหรือ ปั่นในเครื่องปั่นไฟฟ้า การปั่นจะทำให้ประสิทธิภาพลดลงบ้าง เนื่องจากความร้อนจะไปทำลายความเย็นของใบย่านาง


ขยี้ใบย่านางกับน้ำแล้วกรองด้วยกระชอน


ดื่มครั้งละ 1/2 - 1 แก้ว วันละ 2-3 เวลาก่อนอาหารหรือตอนท้องว่าง 
ทิ้งไว้เกิน 4 ชั่วโมง มักจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ไม่เหมาะที่จะดื่ม


บรรจุขวดแช่ในตู้เย็น ควรดื่มให้หมดภายใน 3-7 วัน 
โดยให้สังเกตุกลิ่นเปรี้ยวเป็นหลักห้ามนำมาดื่ม

ใบย่านาง สมุนไพรเย็น คลอโรฟิลล์จากธรรมชาติ


          ใบย่านาง สรรพคุณนั้นมีหลากหลาย เพราะเป็นสมุนไพรเย็น มีคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ และยังมีวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายอีกมากมาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทีน ในปริมาณค่อนข้างสูง โดยเป็นสมุนไพรที่ใครหลายๆคนต่างก็คุ้นเคยกันดี เพราะนิยมนำมาเป็นเครื่องปรุงรสช่วยเพิ่มความกลมกล่อมของอาหาร เช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ แกงเลียง แกงหวาน เป็นต้น

          สรรพคุณใบย่านาง
1. ใบย่านาง ในตำราสมุนไพรจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะ 
2. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก จึงช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วและความแก่ชราอย่างได้ผล 
3. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านโรคในร่างกายให้แข็งแรง 
4. ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย 
5. ช่วยฟื้นฟูเซลล์ต่างๆในร่างกาย 
6. ช่วยในการปรับสมดุลของร่างกาย 
7. เป็นสมุนไพรที่ช่วยในการลดความอ้วนได้อย่างเห็นผลและปลอดภัย 
8. ช่วยในการเผาผลาญไขมันและนำไปใช้เป็นพลังงาน 
9. ช่วยป้องกันและลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ 
10. เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็นเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งอย่างมาก 
11.หากดื่มน้ำใบย่านางเป็นประจำ ก้อนมะเร็งจะฝ่อและเล็กลง 
12.ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง 
13.ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ 
14.ช่วยในการบำรุงรักษาตับ และไต 
15.ช่วยรักษาและบำบัดอาการอัมพฤกษ์ 
16.ช่วยแก้อาการอ่อนล้า อ่อนเพลียของร่างกาย  
17.ช่วยรักษาอาการเกร็ง ชัก หรือเป็นตะคริวบ่อยๆ 
18.ช่วยแก้อาการเจ็บเหมือนมีไฟช็อตหรือมีเข็มแทงหรือมีอาการร้อนเหมือนไฟ 
19.ช่วยป้องกันไม่ให้เส้นเลือดฝอยในร่างกายแตกใต้ผิวหนังได้ง่าย 
20.ช่วยรักษาอาการตกกระที่ผิวเป็นจ้ำๆสีน้ำตาลตามร่างกาย 
21.ช่วยรักษาเนื้องอก 
22.ช่วยรักษาอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม คลื่นไส้ อาเจียนได้ 
23.ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ ไอจาม มีน้ำมูกและเสมหะ 
24.รากแห้งใช้ในการแก้ไข้ทุกชนิด และลดความร้อนในร่างกาย 
25.รากของย่านางสามารถแก้ไข้ได้ทุกชนิด ทั้ง ไข้พิษ ไข้หัด ไข้เหนือ ไข้ผิดสำแดง เป็นต้น 
26.เถาย่านางมีส่วนช่วยในการลดความร้อนและแก้พิษตานซาง 
27.มีส่วนช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อมาลาเรีย 
28.ช่วยรักษาอาการร้อนแต่ไม่มีเหงื่อ 
29.ช่วยรักษาอาการของโรคเบาหวาน ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง 
30.มีส่วนช่วยช่วยอาการปวดตึง ปวดตามกล้ามเนื้อ ปวดชาบริเวณต่างๆ 
31.ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้ 
32.รากของย่านางช่วยแก้อาการเบื่อเมา 
33.ช่วยแก้อาการเหงือกอักเสบอย่างรุนแรงและเรื้อรัง 
34.ช่วยแก้อาการง่วงนอนหลังการรับประทานอาหาร 
35.ช่วยแก้อาการเลือดกำเดาไหล 
36.ช่วยในการบำรุงสายตาและรักษาโรคเกี่ยวกับตา เช่น ตาแดง ตาแห้ง ตามัว แสบตา ปวดตา ตาลาย เป็นต้น 
37.ช่วยรักษาอาการปากคอแห้ง ริมฝีปากแตกหรือลอกเป็นขุย 
38.ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเสมหะเหนียวข้น ขาวขุ่น มีสีเหลืองหรือเขียว หรืออาการเสมหะพันคอ 
39.ช่วยบำบัดอาการของโรคไซนัสอักเสบ 
40.ช่วยลดอาการนอนกรน 
41.ช่วยแก้อาการเจ็บปลายลิ้น 
42.ช่วยป้องกันและบำบัดรักษาโรคหัวใจ 
43.ช่วยป้องกันและรักษาโรคหอบหืด 
44.ช่วยรักษาโรคตับอักเสบ 
45.ช่วยรักษาอาการท้องเสีย เพราะช่วยฆ่าเชื้อโรคที่เป็นต้นเหตุได้ 
46.ช่วยบรรเทาอาการอาการปวดท้องอย่างเฉียบพลัน 
47.ช่วยแก้อาการท้องผูก ลดอาการแสบท้อง 
48.ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ 
49.ช่วยลดอาการหดเกร็งตามลำไส้ 
50.ช่วยรักษาอาการกรดไหลย้อน 
51.ช่วยรักษาไทรอยด์เป็นพิษ 
52.ช่วยรักษาโรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี 
53.ช่วยรักษาอาการปัสสาวะแสบขัด ออกร้อนในทางเดินปัสสาวะ 
54.ช่วยแก้อาการปัสสาวะมีสีเข้ม ปัสสาวะบ่อย หรือมีอาการปัสสาวะออกมาเป็นเลือด 
55.ช่วยรักษาอาการมดลูกโต อาการปวดมดลูก ตกเลือดได้ 
56.ช่วยบำบัดรักษาโรคต่อมลูกหมากโต 
57.ช่วยป้องกันโรคไส้เลื่อน 
58.ช่วยในการรักษาโรคเริม งูสวัด 
59.ช่วยป้องกันการเกิดโรคริดสีดวงทวาร 
60.ช่วยรักษาอาการตกขาว 
61.ช่วยป้องกันการเกิดโรคเกาต์ 
62.ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย 
63.ช่วยรักษาอาการผิวหนังมีความผิดปกติคล้ายรอยไหม้ 
64.น้ำย่านางเมื่อนำมาผสมกับดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากผสมจนเหลว สามารถนำมาทา สิว ฝ้า ตุ่มคัน ตุ่มใส ผื่นคัน พอกฝีหนองได้อีกด้วย 
65.ช่วยป้องกันและรักษาอาการส้นเท้าแตก เจ็บส้นเท้า 
66.ช่วยรักษาอาการเล็บมือเล็บเท้าผุ โดยรักษาอาการเล็บมือเล็บเท้าขวางสั้น ผุ ฉีกง่าย หรือในเล็บมีสีน้ำตาลดำคล้ำ อาการอักเสบที่โคนเล็บ 
67.สำหรับประโยชน์ของใบย่านางด้านอื่นๆ เช่น การนำแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ยกตัวอย่าง ใบย่านางแคปซูล สบู่ใบย่านาง แชมพูใบย่านาง เครื่องดื่มสมุนไพร เป็นต้น 
68.แชมพูสระผมจากใบย่านาง ช่วยให้ผมดำ ชะลอการเกิดผมหงอก 
                 จบแล้วสรรพคุณของใบย่านาง

ขอบคุณข้อมูลจาก : frynn.com

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557

น้ำใบเตยหอม


สมุนไพรใบเตย ที่มีสรรพคุณในการบำรุงหัวใจ แก้เบาหวาน ขับปัสสาวะ 
ซึ่งทำให้ความดันโลหิตสูงลดลงได้ ที่สำคัญสามารถหาได้ง่ายๆในทุกที่ 

น้ำใบเตยหอม

ส่วนผสม
   1. ใบเตยสด 3 ถ้วย
   2. น้ำสะอาด 8 ถ้วย
   3. น้ำตาลทราย 2 ถ้วย(สามารถลดปริมาณของน้ำตาลลงได้)
   4. น้ำแข็ง

วิธีทำ
   ใบเตยสดที่ไม่แก่มากเก็บใหม่ๆ ล้างทีละใบให้สะอาด แช่น้ำด่างทับทิมหรือน้ำเกลือ 10-15 นาที 
นำมาหันตามขวางเป็นชิ้นเล็กๆ แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งใส่ลงในหม้อต้มที่มีน้ำกำลังเดือด 
ต้มเคี่ยว 5-10 นาที เติมน้ำตาลทรายให้รสหวานจัด กรองเอากากออก ใบเตยที่หั่นแล้วส่วนที่สอง
ปั่นให้ละเอียด โดยเติมน้ำ กรองเอากากออก เติมน้ำที่คั้นได้ซึ่งมีสีเขียวและกลิ่นหอมลงในหม้อที่
เติมน้ำตาลและกำลังเดือด ชิมให้มีรสหวาน พอเดือดรีบยกลง เมื่อดื่มใส่น้ำแข็งบดละเอียด

คุณค่าทางโภชนาการ
    ใบเตยสดมีน้ำมันหอมระเหย รสหวาน หอม มัน และมีสีเขียวที่นิยมใช้แต่งสีอาหาร 
เป็นสารคลอโรฟิลล์

สรรพคุณ
  ใบสด : ต้มกับน้ำดื่ม ลดอาการกระหายน้ำ ทำให้ชุ่มชื่น บำรุงหัวใจ 
  ต้นและราก : เป็นยาขับปัสสาวะ รักษาโรคเบาหวาน และแก้กษัยน้ำเบาพิการ

แปะก๊วย...ยิ่งกิน ยิ่งดี อายุวัฒนะ


แปะก๊วย...ยิ่งกิน ยิ่งดี อายุวัฒนะ 

แปะก๊วยผลเหลืองๆ รีๆ ที่เรารู้จักกันดีนี้ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ginkgo flavoneglycosidesเป็นพืชสมุนไพรที่มีต้นกำเนิดจากทางตะวันออกของจีน มีชีวิตอยู่ตั้งแต่เมื่อ 270 ล้านปีก่อนสมัยเดียวกับไดโนเสาร์ แปะก๊วยจึงเป็นอาหารของไดโนเสาร์ชนิดกินพืช...ชื่อแปะก๊วยตามภาษาจีนหมายถึง "ลูกไม้สีเงิน"ในภาษาอังกฤษจะเรียกว่าGinkgo นอกจากนี้ยังมีชื่ออื่น ๆ เช่นต้นไม้แห่งความหวัง แพนด้าแห่งอาณาจักรพืช และต้นไม้อิสรภาพ

แปะก๊วย เป็นพืชสมุนไพรจากธรรมชาติ มีสรรพคุณในการรักษาโรคได้อย่างน่าอัศจรรย์ชาวจีนเชื่อว่าแปะก๊วยเป็นยาอายุวัฒนะ ซึ่งแปะก๊วยที่พบเห็นในบ้านเราส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะอบแห้ง มีเปลือกหุ้ม ก่อนจะนำมาประกอบอาหารต้องแกะเปลือกออก ซึ่งเนื้อในแปะก๊วย จะมีสีเหลือง มีเยื้อเปลือกห่อหุ้มอีกทีเป็นสีส้มน้ำตาล แต่จริงๆ แล้ว สารที่ดีต่อสุขภาพในแปะก๊วยนั้น ส่วนใหญ่จะพบในใบมากกว่าผลเสียอีก

ใบแปะก๊วย เมื่อนำมาสกัดจะได้สารสำคัญ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มฟลาโวน มีฤทธิ์ต้านการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง ส่วนอีกสองกลุ่มเป็นน้ำมันจากใบแปะก๊วย คือ Bilobalidesและ Ginkgolidesซึ่งช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมโดยเป็นตัวช่วยเสริมสร้างการส่งสัญญาณในระบบสมอง เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตไปสู่สมอง ปลายมือปลายเท้า ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เพราะเมื่อสมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง สมองย่อมเสื่อมสมรรถภาพและฝ่อไปในที่สุด ทำให้เกิดการหลงลืมในผู้สูงอายุหรือโรคความจำเสื่อม ที่เรียกว่า อัลไซเมอร์นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันการเกิดแผลเรื้อรังในคนที่เป็นโรคเบาหวาน และออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในบริเวณตา ช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานขึ้นตาได้

ปัจจุบันมีการนำใบแปะก๊วยมาสกัดเป็นอาหารเสริมจำนวนมากเพื่อช่วยบำรุงสมองช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี และยังใช้รักษาโรคความจำเสื่อมโรคซึมเศร้า อาการหลงๆ ลืมๆ อันเนื่องมาจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอในผู้ป่วยสูงอายุ หลายประเทศให้การยอมรับสรรพคุณของใบแปะก๊วยในการรักษาโรคสมองเสื่อมทั้งยังมีการนำสารสกัดจากใบแปะก๊วยมารวมกับสารอื่นๆ เพื่อช่วยให้การดูดซับที่ผนังลำไส้เล็กทำงานดีขึ้น ทำให้ร่างกายนำสารสกัดจากใบแปะก๊วยไปใช้ประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น

ผลแปะก๊วยที่ใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารจีนประกอบด้วยไขมัน แป้ง โปรตีน และน้ำตาล มีรสหวานอมขมอมฝาด มีสรรพคุณช่วยบำรุงสมอง ช่วยให้เลือดลมหมุนเวียนได้สะดวก ช่วยบำรุงปอด แก้ไอ แก้หอบ ขับเสมหะ ลดปัสสาวะ ฆ่าเชื้อโรค บำบัดอาการวิงเวียนศีรษะ หูอื้อ หลอดลมอักเสบ ตกขาว หนองใน แปะก๊วยสด ช่วยลดเสมหะ แก้พิษ ฆ่าพยาธิ ถ้านำมาโขลกทาบนใบหน้าและมือ ช่วยขจัดรอยเหี่ยวย่น รักษาอาการหืดได้อีกด้วย

ด้วยคุณสมบัติมหัศจรรย์ ใบแปะก๊วยจึงถูกนำมาใช้เป็นเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยโตเกียวประเทศญี่ปุ่นแสดงถึงความคงทน ไม่เปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับต้นแปะก๊วยที่ทนต่อสภาพแวดล้อมตั้งแต่โบราณถึงปัจจุบัน และยังมีความหมายในการช่วยปกป้องคุ้มภัย จากเหตุการณ์ที่แปะก๊วยได้ช่วยปกป้องวัดอันศักด์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เคารพของชาวญี่ปุ่น ให้รอดพ้นจากอัคคีภัยและแผ่นดินไหวอีกด้วย สำหรับในจีนแปะก๊วยใช้แทนตัวขงจื๊อ ผู้เป็นปราชญ์ใต้ต้นแปะก๊วย

แปะก๊วย ดูจะเป็นพืชสมุนไพรมหัศจรรย์ ที่มีสรรพคุณครอบจักรวาล แถมยังอร่อยเลิศ...เครียดๆ เหนื่อยๆแปะก๊วยสักหน่อย รับรองผ่อนคลายได้ดี หรือจะหาใบแปะก๊วยมารับประทานก็ได้ เลือกได้ตามชอบเลย...


ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org, www.doctor.or.th
ภาพประกอบจาก  www.oknation.net

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557

น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ



น้ำกล้วย - กล้วย เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินเอ ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ซึ่งล้วนแต่เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท ช่วยควบคุมความดันโลหิต เพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มความแข็งแรงสมบูรณ์ให้แก่ร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ


 น้ำกีวี่ – กีวี่อุดมไปด้วยวิตามินซี, คลอโรฟิลล์, ไฟโตเคมิคอล (Phytochemical), และแอคทินิดิน ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้หัวใจมีสุขภาพดี และช่วยลดความดันโลหิต น้ำเกรปฟรุต – น้ำผลไม้รสเปรี้ยวที่มีคุณสมบุติช่วยเผาผลาญไขมันและช่วยลดระดับอินซูลินซึ่งเป็นตัวการของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น การดื่มน้ำเกรปฟรุตคั้นสดก่อนมื้ออาหารทุกมือ จะช่วยทำให้น้ำหนักตัวลดลงมากกว่า 1.5 กิโลกรัม ภายใน 3 เดือน โดยที่ไม่ต้องลดอาหารหรือไดเอ็ทเลย