วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ดื่มกาแฟอย่างชาญฉลาด เพื่อสุขภาพ



ในสมัยนี้จะเรียกว่าเป็นยุคของ “กาแฟ” ก็ไม่ผิด เพราะเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของคนทุกเพศทุกวัย

ในวันนี้เราจะมาดูกันว่า ดื่มกาแฟอย่างไร ให้ร่างกายได้รับประโยชน์มากที่สุด


5 วิธีดื่มกาแฟอย่างชาญฉลาด เพื่อสุขภาพ

1. ดื่มวันละแก้วก็เพียงพอแล้ว

ถึงแม้จะชื่นชอบกาแฟมากเพียงใด แต่การทำอะไรมากเกินไปย่อมเกิดผลเสีย การดื่มกาแฟวันละแก้ว น่าจะพอดีแล้วกับร่างกาย หรืออาจเพิ่มอีกแก้วในบางวันที่ต้องการความกระปรี้กระเปร่า แต่ถ้ามากกว่านี้แล้วละก็ บอกได้เลยว่ากาเฟอีนจะท่วมร่าง นอนไม่หลับเอาง่ายๆ


2. อย่าดื่มตอนท้องว่าง

เพราะกาเฟอีน (รวมทั้งในชา) จะไปเร่งให้ท้องที่ว่างๆ นั้นหลั่งกรดออกมา ผลคือกรดจะเพิ่มขึ้นในกระเพาะเปล่าๆ ชวนให้ไม่สบายท้อง และจะเป็นโรคกระเพาะอาหารเอาได้ ทางที่ดีควรดื่มพร้อมอาหารอะไรบ้าง ไม่ว่าขนมปังหรือเค้กสักชิ้น จะได้ดูแลท้องไปด้วยไงล่ะ


3. เลี่ยงการเข้าห้องน้ำบ่อย

ด้วยการจิบน้ำเปล่าตามหลังกาแฟสักหน่อย จริงอยู่การเติมน้ำเข้าร่างกายทำให้เราต้องเข้าห้องน้ำแต่สังเกตกันบ้างหรือเปล่าว่ากลิ่นที่ออกมาจะเป็นกลิ่นกาแฟ้-กาแฟ นั่นเพราะกาเฟอีนมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ โดยไปลดการดูดกลับของโซเดียม โพแทสเซียม และแคลเซียมจากหน่วยไตที่ถูกขับออกมาพร้อมปัสสาวะ ทางที่ดีดื่มน้ำตามเสียหน่อยให้เจือจางอาจทำให้เบาบางลงได้


4. ดื่มกลางวันดีกว่านะ

เพราะหากเป็นมื้อค่ำที่ร่างกายเตรียมจะพักแล้วละก็ บอกได้เลยว่าคืนนี้นอนนับแกะหลายร้อยตัวแน่ การดื่มกาแฟจึงควรดื่มให้รู้สึกสดชื่นตอนเช้าหรือระหว่างวันจะดีกว่า จะดื่มรสชาติแบบไหนไม่มีใครว่าอยู่แล้ว


5. แก้วนี้ต้องไม่อ้วน

ใครดื่มกาแฟดำได้ยิ่งแจ๋ว เพราะไม่อ้วนแน่นอน แต่ถ้าติดหวานและกลัวอ้วน เติมน้ำตาลเล็กน้อย (หรือแบบน้ำตาลเทียม) ก็สามารถทำได้ ที่แน่ๆ เลี่ยงความหวานชนิดนมข้นหวาน ครีมต่างๆ รวมทั้งครีมเทียม กินแบบเบาๆ ใสๆ นี่ล่ะ เฮลตี้กว่าเยอะ

ที่มา : lisaguru

กินอาหารอย่างไรไม่ให้อ้วน


การให้ความสำคัญกับการเลือกทานอาหารเป็นเรื่องที่ดี เพื่อให้มีร่างกายที่ แข็งแรง สัดส่วนที่เหมาะสม แต่บางครั้งเราหันไปให้ความสนใจ กับมื้ออาหารนอกบ้าน ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเราสามารถเริ่มต้นง่ายๆ ได้ที่บ้านของเราเอง สิ่งสำคัญของการรักษารูปร่างไม่ได้หมายถึงการอดอาหาร แต่หมายถึง การรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการในสัดส่วนที่เหมาะสมให้ครบทุกมื้อ และนี่คือ 7 วิธีง่ายๆ ที่มาแนะนำ เกี่ยววิธีการกินอาหารอย่างไรไม่ให้อ้วน โดยเริ่มจากที่บ้านของคุณเอง

1. กินผลไม้ให้มากขึ้น พยายามรับประทานผลไม้วันละ 3-4 ผลกลางเช่น กล้วย ส้ม หรือจะเป็นฝรั่งครึ่งลูก มะละกอ 6 ชิ้น โดยอาจจะใช้ตบท้ายหลังมื้ออาหาร หรือจะใช้เป็นอาหารว่างช่วงสายและช่วงบ่าย การกินผลไม้แบบผลได้ประโยชน์กว่าการดื่มในรูปแบบน้ำผลไม้ เพราะคุณจะได้สารอาหารที่หลากหลายทั้งวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหาร เมื่อเทียบกับน้ำผลไม้สำเร็จรูปที่มักจะเสริมความหวานด้วยน้ำตาลมากเป็นหลัก ใยอาหารน้อย และวิตามินตามธรรมชาติต่างๆ ที่อาจสูญเสียไปในขั้นตอนการผลิตที่ใช้ต้องความร้อน

2. กินผักมากขึ้น ผักและผลไม้ให้วิตามิน เกลือแร่ สารต้านอนุมูลอิสระ และใยอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ดังนั้นควรบริโภคผักในปริมาณวันละ 4-5ทัพพีโดยเลือกผักตามฤดูกาลที่หารับประทานได้ง่ายและ ลดโอกาสการปนเปื้อนจากปุ๋ยหรือสารเคมี ลองซื้อผักเหล่านี้ติดตู้เย็นของคุณไว้ตลอด เช่น มะเขือเทศ แครอท กะหล่ำปลีและผักใบเขียวอื่น ๆ ซึ่งสามารถกินได้ทั้งสดๆ แบบบสลัด หรือจะทำเป็นเมนูผัดกับซอสหอยนางรมก็อร่อยได้ไม่ยาก

3. เลือกรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชเต็มเมล็ด และถั่วเปลือกแข็งเพิ่มมากขึ้น อุดมไปด้วยวิตามินแร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ และใยอาหาร ลองเพิ่มสัดส่วนของธัญพืชเต็มเมล็ดแทนธัญพืชขัดขาวที่เคยกินอยู่ เช่น หุงข้าวผสมข้าวกล้องกับข้าวขัดขาว กินขนมปังโฮลวีทสีน้ำตาลแทนขนมปังขาว เพิ่มสัดส่วนของซีเรียลแบบโฮลเกรนในมื้อเช้า เป็นต้น นอกจากนี้ หาถั่วเปลือกแข็งเช่น อัลมอลต์ ใส่ขวดโหลสวยๆ วางไว้ในห้องนั่งเล่น ก็จะทำให้ทุกคนในบ้านมีขนมกินเล่นที่มีประโยชน์แทนขนมกรุบกรอบที่มักมี โซเดียม (เกลือ) และไขมันสูง

4. รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ อาหารเช้าเป็นอาหารที่เราละเลยมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยเกี่ยวกับการลดน้ำหนักที่ประสบความสำเร็จแสดงให้เห็น ว่าการกินอาหารเช้าเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะจะทำให้หลีกเลี่ยงการกินจุบจิบในช่วงสายๆ หรือการกินมื้อเที่ยงแบบจัดหนัก อาหารเช้าที่ดี ควรมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนซึ่งให้พลังงานได้อย่างยาวนาน เช่น อาหารเช้าประเภทซีเรียลโฮลเกรนกับนมไขมันต่ำ เสริมด้วยผลไม้สดอย่างกล้วยซัก 1 ผล เป็นต้น

5. จำกัดปริมาณไขมันอิ่มตัว เป็นที่ยอมรับกันว่าไขมันอิ่มตัวนั้นให้โทษต่อหลอดเลือดและหัวใจของคนเรา ดังนั้น การลดปริมาณอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวก็เป็นการดูแลสุขภาพที่ไม่ควรละเลย เช่น การลด กะทิ เนย เนื้อแดง (เนื้อวัว หรือเนื้อหมูติดมัน) อาหารทอดกรอบๆ แล้วเปลี่ยนเป็นอาหารที่มีไขมันชนิดที่ดีต่อสุขภาพ เช่นไขมันไม่อิ่มตัว ไขมันเชิงเดียว อย่าง น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก เนื้อปลา ถั่วอัลมอลต์ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เป็นต้น

6. จำกัดปริมาณ ไขมันทั้งหมด แม้ว่าการเลือกที่จะตัดเจ้าไขมันอิ่มตัวทั้งหมดออก แต่คุณต้องแน่ใจว่าคุณไม่กินไขมันอื่นๆ มากเกินไปด้วย โดยการเลือกเนื้อสัตว์ส่วนที่มีไขมันน้อย หรือลดอาหารประเภททอด หรือการผัดด้วยน้ำมัน มาเป็นการปรุงด้วยวิธี ต้ม นึ่ง ยำ ย่าง ตุ๋น อบ เช่น การเปลี่ยนจากไข่เจียว มาเป็นไข่ต้ม หรือการเลือกเนื้อไก่ส่วนอกแทนส่วนสะโพก ซึ่งทำให้คุณได้ไขมันน้อยลงถึง 50%

7. เลือกรับประทานอาหารที่ทำจากนมพร่องมันเนย นมไม่ได้จำเป็นสำหรับเด็กเท่านั้น ตามหลักโภชนาการแล้ว ผู้ใหญ่เองก็ควรดื่มนมทุกวัน วันละ 1 แก้ว เพียงแต่ต้องเลือกเป็นนมไขมันต่ำ หรือพร่องมันเนย หรืออาจสลับเป็น โยเกิร์ตไขมันต่ำ น้ำตาลน้อย ชีส ไอศกรีมนม เพราะมันจะทำให้คุณได้รับแคลเซียม วิตามินดีและสารอาหารอื่น ๆที่จำเป็นต่อกระดูกที่เข็งแรง

อย่าลืม 7 ข้อนี้ ในทุกๆครั้งที่สั่งอาหารมารับประทานหรือวางแผนที่จะปรุงอาหารรับประทานเอง คุณก็มีสุขภาพที่ดีได้

ที่มา : goodfoodgoodlife.in.th

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

น้ำใบย่านาง มีสารคลอโรฟีลล์



ใบย่านาง
มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารมากมาย วิตามินเอ,วิตามิซีโปรตีน, คาร์โบรไฮเดรด,ไขมัน, แคลเซียม,ฟอสฟอรัส ,เหล็ก, ไนอาซีน, ใยอาหาร 
          ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า น้ำคั้นจากใบย่านาง มีสารคลอโรฟีลล์ (Chlorophyll) ช่วยปรับความสมดุลของร่างกาย มีฤทธิ์เย็น เด็ดใบมาคั้นน้ำเป็นน้ำซุบ ปรุงอาหารได้หลายอย่าง จะใช้น้ำที่คั้น ผสมลงในอาหาร เช่น แกงอ่อมต้มแชบ ,ซุบหน่อไม้ 
          
ประโยชน์ ของสารคลอโรฟีลล์ (Chlorophyll) ที่ร่างกายได้รับ

•ทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจากการอ่อนเพลีย

• ลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบ

• ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน

•สร้างภูมิคุ้มกัน โรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ

• ขับกรดจากข้อต่อต่างๆ ทำให้อาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว

• ขับสารพิษออกจากร่างกาย สารตกค้างของยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้างในอาหาร ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี สุขภาพแข็งแรง สดชื่นขึ้น

• เพิ่มประสิทธิภาพเม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้ระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น

• ป้องกันการเจริญเติมโตของเซลล์มะเร็ง

• ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย, การใช้รักษาแผลอักเสบ, แผลเปื่อย, แผลเรื้อรัง, แผลถลอก, แผลไฟไหม้, เหงือกอักเสบ, แผลในปาก

• บรรเทาอาการปวดศีรษะทั่วไป และปวดศีรษะไมเกรนได้

• ช่วยให้ผู้ที่เป็นต้อกระจกมองเห็นได้ดีขึ้น

• มีสารอาหารบำรุงเส้นผม ทำให้ผมหงอกดำขึ้น ช่วยลดอาการผมร่วง


การทำน้ำย่านาง ล้างใบย่านางให้สะอาด

เด็ด ใช้ใบย่านาง 1-5 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
ผู้ใหญ่ ใช้ใบย่านาง 10-20 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว


ใบย่านาง



ใบย่านางสดโขลกให้ละเอียดแล้วเติมน้ำหรือ ขยี้ใบย่านางกับน้ำหรือ ปั่นในเครื่องปั่นไฟฟ้า การปั่นจะทำให้ประสิทธิภาพลดลงบ้าง เนื่องจากความร้อนจะไปทำลายความเย็นของใบย่านาง


ขยี้ใบย่านางกับน้ำแล้วกรองด้วยกระชอน


ดื่มครั้งละ 1/2 - 1 แก้ว วันละ 2-3 เวลาก่อนอาหารหรือตอนท้องว่าง 
ทิ้งไว้เกิน 4 ชั่วโมง มักจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ไม่เหมาะที่จะดื่ม


บรรจุขวดแช่ในตู้เย็น ควรดื่มให้หมดภายใน 3-7 วัน 
โดยให้สังเกตุกลิ่นเปรี้ยวเป็นหลักห้ามนำมาดื่ม

ใบย่านาง สมุนไพรเย็น คลอโรฟิลล์จากธรรมชาติ


          ใบย่านาง สรรพคุณนั้นมีหลากหลาย เพราะเป็นสมุนไพรเย็น มีคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ และยังมีวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายอีกมากมาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทีน ในปริมาณค่อนข้างสูง โดยเป็นสมุนไพรที่ใครหลายๆคนต่างก็คุ้นเคยกันดี เพราะนิยมนำมาเป็นเครื่องปรุงรสช่วยเพิ่มความกลมกล่อมของอาหาร เช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ แกงเลียง แกงหวาน เป็นต้น

          สรรพคุณใบย่านาง
1. ใบย่านาง ในตำราสมุนไพรจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะ 
2. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก จึงช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วและความแก่ชราอย่างได้ผล 
3. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านโรคในร่างกายให้แข็งแรง 
4. ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย 
5. ช่วยฟื้นฟูเซลล์ต่างๆในร่างกาย 
6. ช่วยในการปรับสมดุลของร่างกาย 
7. เป็นสมุนไพรที่ช่วยในการลดความอ้วนได้อย่างเห็นผลและปลอดภัย 
8. ช่วยในการเผาผลาญไขมันและนำไปใช้เป็นพลังงาน 
9. ช่วยป้องกันและลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ 
10. เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็นเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งอย่างมาก 
11.หากดื่มน้ำใบย่านางเป็นประจำ ก้อนมะเร็งจะฝ่อและเล็กลง 
12.ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง 
13.ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ 
14.ช่วยในการบำรุงรักษาตับ และไต 
15.ช่วยรักษาและบำบัดอาการอัมพฤกษ์ 
16.ช่วยแก้อาการอ่อนล้า อ่อนเพลียของร่างกาย  
17.ช่วยรักษาอาการเกร็ง ชัก หรือเป็นตะคริวบ่อยๆ 
18.ช่วยแก้อาการเจ็บเหมือนมีไฟช็อตหรือมีเข็มแทงหรือมีอาการร้อนเหมือนไฟ 
19.ช่วยป้องกันไม่ให้เส้นเลือดฝอยในร่างกายแตกใต้ผิวหนังได้ง่าย 
20.ช่วยรักษาอาการตกกระที่ผิวเป็นจ้ำๆสีน้ำตาลตามร่างกาย 
21.ช่วยรักษาเนื้องอก 
22.ช่วยรักษาอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม คลื่นไส้ อาเจียนได้ 
23.ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ ไอจาม มีน้ำมูกและเสมหะ 
24.รากแห้งใช้ในการแก้ไข้ทุกชนิด และลดความร้อนในร่างกาย 
25.รากของย่านางสามารถแก้ไข้ได้ทุกชนิด ทั้ง ไข้พิษ ไข้หัด ไข้เหนือ ไข้ผิดสำแดง เป็นต้น 
26.เถาย่านางมีส่วนช่วยในการลดความร้อนและแก้พิษตานซาง 
27.มีส่วนช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อมาลาเรีย 
28.ช่วยรักษาอาการร้อนแต่ไม่มีเหงื่อ 
29.ช่วยรักษาอาการของโรคเบาหวาน ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง 
30.มีส่วนช่วยช่วยอาการปวดตึง ปวดตามกล้ามเนื้อ ปวดชาบริเวณต่างๆ 
31.ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้ 
32.รากของย่านางช่วยแก้อาการเบื่อเมา 
33.ช่วยแก้อาการเหงือกอักเสบอย่างรุนแรงและเรื้อรัง 
34.ช่วยแก้อาการง่วงนอนหลังการรับประทานอาหาร 
35.ช่วยแก้อาการเลือดกำเดาไหล 
36.ช่วยในการบำรุงสายตาและรักษาโรคเกี่ยวกับตา เช่น ตาแดง ตาแห้ง ตามัว แสบตา ปวดตา ตาลาย เป็นต้น 
37.ช่วยรักษาอาการปากคอแห้ง ริมฝีปากแตกหรือลอกเป็นขุย 
38.ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเสมหะเหนียวข้น ขาวขุ่น มีสีเหลืองหรือเขียว หรืออาการเสมหะพันคอ 
39.ช่วยบำบัดอาการของโรคไซนัสอักเสบ 
40.ช่วยลดอาการนอนกรน 
41.ช่วยแก้อาการเจ็บปลายลิ้น 
42.ช่วยป้องกันและบำบัดรักษาโรคหัวใจ 
43.ช่วยป้องกันและรักษาโรคหอบหืด 
44.ช่วยรักษาโรคตับอักเสบ 
45.ช่วยรักษาอาการท้องเสีย เพราะช่วยฆ่าเชื้อโรคที่เป็นต้นเหตุได้ 
46.ช่วยบรรเทาอาการอาการปวดท้องอย่างเฉียบพลัน 
47.ช่วยแก้อาการท้องผูก ลดอาการแสบท้อง 
48.ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ 
49.ช่วยลดอาการหดเกร็งตามลำไส้ 
50.ช่วยรักษาอาการกรดไหลย้อน 
51.ช่วยรักษาไทรอยด์เป็นพิษ 
52.ช่วยรักษาโรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี 
53.ช่วยรักษาอาการปัสสาวะแสบขัด ออกร้อนในทางเดินปัสสาวะ 
54.ช่วยแก้อาการปัสสาวะมีสีเข้ม ปัสสาวะบ่อย หรือมีอาการปัสสาวะออกมาเป็นเลือด 
55.ช่วยรักษาอาการมดลูกโต อาการปวดมดลูก ตกเลือดได้ 
56.ช่วยบำบัดรักษาโรคต่อมลูกหมากโต 
57.ช่วยป้องกันโรคไส้เลื่อน 
58.ช่วยในการรักษาโรคเริม งูสวัด 
59.ช่วยป้องกันการเกิดโรคริดสีดวงทวาร 
60.ช่วยรักษาอาการตกขาว 
61.ช่วยป้องกันการเกิดโรคเกาต์ 
62.ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย 
63.ช่วยรักษาอาการผิวหนังมีความผิดปกติคล้ายรอยไหม้ 
64.น้ำย่านางเมื่อนำมาผสมกับดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากผสมจนเหลว สามารถนำมาทา สิว ฝ้า ตุ่มคัน ตุ่มใส ผื่นคัน พอกฝีหนองได้อีกด้วย 
65.ช่วยป้องกันและรักษาอาการส้นเท้าแตก เจ็บส้นเท้า 
66.ช่วยรักษาอาการเล็บมือเล็บเท้าผุ โดยรักษาอาการเล็บมือเล็บเท้าขวางสั้น ผุ ฉีกง่าย หรือในเล็บมีสีน้ำตาลดำคล้ำ อาการอักเสบที่โคนเล็บ 
67.สำหรับประโยชน์ของใบย่านางด้านอื่นๆ เช่น การนำแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ยกตัวอย่าง ใบย่านางแคปซูล สบู่ใบย่านาง แชมพูใบย่านาง เครื่องดื่มสมุนไพร เป็นต้น 
68.แชมพูสระผมจากใบย่านาง ช่วยให้ผมดำ ชะลอการเกิดผมหงอก 
                 จบแล้วสรรพคุณของใบย่านาง

ขอบคุณข้อมูลจาก : frynn.com

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557

น้ำใบเตยหอม


สมุนไพรใบเตย ที่มีสรรพคุณในการบำรุงหัวใจ แก้เบาหวาน ขับปัสสาวะ 
ซึ่งทำให้ความดันโลหิตสูงลดลงได้ ที่สำคัญสามารถหาได้ง่ายๆในทุกที่ 

น้ำใบเตยหอม

ส่วนผสม
   1. ใบเตยสด 3 ถ้วย
   2. น้ำสะอาด 8 ถ้วย
   3. น้ำตาลทราย 2 ถ้วย(สามารถลดปริมาณของน้ำตาลลงได้)
   4. น้ำแข็ง

วิธีทำ
   ใบเตยสดที่ไม่แก่มากเก็บใหม่ๆ ล้างทีละใบให้สะอาด แช่น้ำด่างทับทิมหรือน้ำเกลือ 10-15 นาที 
นำมาหันตามขวางเป็นชิ้นเล็กๆ แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งใส่ลงในหม้อต้มที่มีน้ำกำลังเดือด 
ต้มเคี่ยว 5-10 นาที เติมน้ำตาลทรายให้รสหวานจัด กรองเอากากออก ใบเตยที่หั่นแล้วส่วนที่สอง
ปั่นให้ละเอียด โดยเติมน้ำ กรองเอากากออก เติมน้ำที่คั้นได้ซึ่งมีสีเขียวและกลิ่นหอมลงในหม้อที่
เติมน้ำตาลและกำลังเดือด ชิมให้มีรสหวาน พอเดือดรีบยกลง เมื่อดื่มใส่น้ำแข็งบดละเอียด

คุณค่าทางโภชนาการ
    ใบเตยสดมีน้ำมันหอมระเหย รสหวาน หอม มัน และมีสีเขียวที่นิยมใช้แต่งสีอาหาร 
เป็นสารคลอโรฟิลล์

สรรพคุณ
  ใบสด : ต้มกับน้ำดื่ม ลดอาการกระหายน้ำ ทำให้ชุ่มชื่น บำรุงหัวใจ 
  ต้นและราก : เป็นยาขับปัสสาวะ รักษาโรคเบาหวาน และแก้กษัยน้ำเบาพิการ

แปะก๊วย...ยิ่งกิน ยิ่งดี อายุวัฒนะ


แปะก๊วย...ยิ่งกิน ยิ่งดี อายุวัฒนะ 

แปะก๊วยผลเหลืองๆ รีๆ ที่เรารู้จักกันดีนี้ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ginkgo flavoneglycosidesเป็นพืชสมุนไพรที่มีต้นกำเนิดจากทางตะวันออกของจีน มีชีวิตอยู่ตั้งแต่เมื่อ 270 ล้านปีก่อนสมัยเดียวกับไดโนเสาร์ แปะก๊วยจึงเป็นอาหารของไดโนเสาร์ชนิดกินพืช...ชื่อแปะก๊วยตามภาษาจีนหมายถึง "ลูกไม้สีเงิน"ในภาษาอังกฤษจะเรียกว่าGinkgo นอกจากนี้ยังมีชื่ออื่น ๆ เช่นต้นไม้แห่งความหวัง แพนด้าแห่งอาณาจักรพืช และต้นไม้อิสรภาพ

แปะก๊วย เป็นพืชสมุนไพรจากธรรมชาติ มีสรรพคุณในการรักษาโรคได้อย่างน่าอัศจรรย์ชาวจีนเชื่อว่าแปะก๊วยเป็นยาอายุวัฒนะ ซึ่งแปะก๊วยที่พบเห็นในบ้านเราส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะอบแห้ง มีเปลือกหุ้ม ก่อนจะนำมาประกอบอาหารต้องแกะเปลือกออก ซึ่งเนื้อในแปะก๊วย จะมีสีเหลือง มีเยื้อเปลือกห่อหุ้มอีกทีเป็นสีส้มน้ำตาล แต่จริงๆ แล้ว สารที่ดีต่อสุขภาพในแปะก๊วยนั้น ส่วนใหญ่จะพบในใบมากกว่าผลเสียอีก

ใบแปะก๊วย เมื่อนำมาสกัดจะได้สารสำคัญ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มฟลาโวน มีฤทธิ์ต้านการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง ส่วนอีกสองกลุ่มเป็นน้ำมันจากใบแปะก๊วย คือ Bilobalidesและ Ginkgolidesซึ่งช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมโดยเป็นตัวช่วยเสริมสร้างการส่งสัญญาณในระบบสมอง เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตไปสู่สมอง ปลายมือปลายเท้า ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เพราะเมื่อสมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง สมองย่อมเสื่อมสมรรถภาพและฝ่อไปในที่สุด ทำให้เกิดการหลงลืมในผู้สูงอายุหรือโรคความจำเสื่อม ที่เรียกว่า อัลไซเมอร์นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันการเกิดแผลเรื้อรังในคนที่เป็นโรคเบาหวาน และออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในบริเวณตา ช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานขึ้นตาได้

ปัจจุบันมีการนำใบแปะก๊วยมาสกัดเป็นอาหารเสริมจำนวนมากเพื่อช่วยบำรุงสมองช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี และยังใช้รักษาโรคความจำเสื่อมโรคซึมเศร้า อาการหลงๆ ลืมๆ อันเนื่องมาจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอในผู้ป่วยสูงอายุ หลายประเทศให้การยอมรับสรรพคุณของใบแปะก๊วยในการรักษาโรคสมองเสื่อมทั้งยังมีการนำสารสกัดจากใบแปะก๊วยมารวมกับสารอื่นๆ เพื่อช่วยให้การดูดซับที่ผนังลำไส้เล็กทำงานดีขึ้น ทำให้ร่างกายนำสารสกัดจากใบแปะก๊วยไปใช้ประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น

ผลแปะก๊วยที่ใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารจีนประกอบด้วยไขมัน แป้ง โปรตีน และน้ำตาล มีรสหวานอมขมอมฝาด มีสรรพคุณช่วยบำรุงสมอง ช่วยให้เลือดลมหมุนเวียนได้สะดวก ช่วยบำรุงปอด แก้ไอ แก้หอบ ขับเสมหะ ลดปัสสาวะ ฆ่าเชื้อโรค บำบัดอาการวิงเวียนศีรษะ หูอื้อ หลอดลมอักเสบ ตกขาว หนองใน แปะก๊วยสด ช่วยลดเสมหะ แก้พิษ ฆ่าพยาธิ ถ้านำมาโขลกทาบนใบหน้าและมือ ช่วยขจัดรอยเหี่ยวย่น รักษาอาการหืดได้อีกด้วย

ด้วยคุณสมบัติมหัศจรรย์ ใบแปะก๊วยจึงถูกนำมาใช้เป็นเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยโตเกียวประเทศญี่ปุ่นแสดงถึงความคงทน ไม่เปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับต้นแปะก๊วยที่ทนต่อสภาพแวดล้อมตั้งแต่โบราณถึงปัจจุบัน และยังมีความหมายในการช่วยปกป้องคุ้มภัย จากเหตุการณ์ที่แปะก๊วยได้ช่วยปกป้องวัดอันศักด์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เคารพของชาวญี่ปุ่น ให้รอดพ้นจากอัคคีภัยและแผ่นดินไหวอีกด้วย สำหรับในจีนแปะก๊วยใช้แทนตัวขงจื๊อ ผู้เป็นปราชญ์ใต้ต้นแปะก๊วย

แปะก๊วย ดูจะเป็นพืชสมุนไพรมหัศจรรย์ ที่มีสรรพคุณครอบจักรวาล แถมยังอร่อยเลิศ...เครียดๆ เหนื่อยๆแปะก๊วยสักหน่อย รับรองผ่อนคลายได้ดี หรือจะหาใบแปะก๊วยมารับประทานก็ได้ เลือกได้ตามชอบเลย...


ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org, www.doctor.or.th
ภาพประกอบจาก  www.oknation.net

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557

น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ



น้ำกล้วย - กล้วย เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินเอ ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ซึ่งล้วนแต่เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท ช่วยควบคุมความดันโลหิต เพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มความแข็งแรงสมบูรณ์ให้แก่ร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ


 น้ำกีวี่ – กีวี่อุดมไปด้วยวิตามินซี, คลอโรฟิลล์, ไฟโตเคมิคอล (Phytochemical), และแอคทินิดิน ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้หัวใจมีสุขภาพดี และช่วยลดความดันโลหิต น้ำเกรปฟรุต – น้ำผลไม้รสเปรี้ยวที่มีคุณสมบุติช่วยเผาผลาญไขมันและช่วยลดระดับอินซูลินซึ่งเป็นตัวการของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น การดื่มน้ำเกรปฟรุตคั้นสดก่อนมื้ออาหารทุกมือ จะช่วยทำให้น้ำหนักตัวลดลงมากกว่า 1.5 กิโลกรัม ภายใน 3 เดือน โดยที่ไม่ต้องลดอาหารหรือไดเอ็ทเลย

 

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

น้ําผลไม้เพื่อสุขภาพ


น้ําผลไม้เพื่อสุขภาพ คือ ของเหลวที่อยู่ในเนื้อเยื่อของผลไม้ตามธรรมชาติ น้ำผลไม้จะได้มาจากการนำผลไม้ไปคั้นหรือปั่นผลไม้เหล่านั้นโดยไม่ใช้ความร้อนหรือตัวทำละลาย ซึ่งน้ำผลไม้สำเร็จรูปที่วางขายหลายยี่ห้อจะถูกกรองเอากากใยอาหารออก แต่น้ำผลไม้ที่มีเนื้อก็ยังคงเป็นเครื่องดื่มที่นิยม โดยอาจขายในรูปแบบเข้มข้น ซึ่งจำเป็นต้องเติมน้ำเพื่อลดความเข้มข้นจนกระทั้งอยู่ในสถานะปกติ โดยน้ำผลไม้แบบเข้มข้นมักจะมีรสชาติที่ต่างจากน้ำผลไม้คั้นสดอย่างชัดเจน
 
 


น้ำแตงกวา 
น้ำแตงกวานั้นมีส่วนประกอบที่สำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพ มากกว่ากว่าเพียงแค่การนำมันไปหั่นเป็นชิ้นบางๆ หรือปั่นให้เละเพื่อนำไปใช้ในพอกหน้าฟื้นฟูความเหนื่อยล้าของผิวเท่านั้น

1.รักษากระดูกให้แข็งแรง ในน้ำแตงกวาจะมีส่วนประกอบของวิตามินเค ซึ่งจะช่วยเสริมการพัฒนาของเนื้อเยื่อกระดูกให้แข็งแรง รักษาสุขภาพไตให้แข็งแรง และมีบทบาทสำคัญในการช่วยทำให้เลือดแข็งตัว

2.เพิ่มความต้านทานโรคมะเร็ง น้ำแตงกวาสามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็งในอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศหญิง มะเร็งในต่อมต่างๆ เป็นต้น น้ำแตงกวาจะช่วยยับยั้งไม่ให้เซลล์มะเร็งเหล่านั้นเกิดการขยายตัวมากขึ้นกว่าเดิม

3. ช่วยลดกรด น้ำแตงกวามีคุณสมบัติเป็นด่าง ซึ่งสามารถช่วยลดกรดที่เกิดขึ้นภายในเลือดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยในการรักษาแผลในกระเพาะอาหาร และลำไส้อีกด้วย

4.บำรุงร่างกาย แตงกวามีปริมาณน้ำสูงถึงร้อยละ 95 ทำให้สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับร่างกาย กระตุ้นการย่อยอาหาร และยังมีคุณสมบัติช่วยในการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี

5.ช่วยต่อสู้กับคอลเลสเตอรอลและโรคเบาหวาน น้ำแตงกวาสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีในร่างกายให้น้อยลง และยังช่วยกระตุ้นให้ตับอ่อนสร้างอินซูลิน จึงสามารถช่วยทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถรักษาระดับเลือดเอาไว้ได้ในปริมาณที่เหมาะสม
6.ลดอาการปวดข้อ แตงกวาอุดมไปด้วยสารซิลิก้า ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยทำให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพันมีความแข็งแกร่ง นอกจากนี้น้ำแตงกวายังอุดมไปด้วยวิตามิน A B1 B6 C และ D รวมไปถึง โฟเลตแมกนีเซียม โพแทสเซียม เมื่อนำน้ำแตงกวาไปผสมกับน้ำแครอท จะมีสรรพคุณในการช่วยบรรเทาอาการโรคเกาด์ และลดอาการปวกข้ออักเสบลง

7.สมานผิวไหม้จากแดด การดื่มน้ำแตงกวา ช่วยรักษาสมานผิวที่ไหม้จากแสงแดดที่ร้อนระอุในตอนกลางวันได้เป็นอย่างดี

8.เพิ่มภูมิคุ้มกัน ในแตงกวามีส่วนผสมของทองแดงที่ช่วยบำรุงการสื่อสารของระบบประสาท และยังช่วยในการพัฒนาเซลล์เม็ดเลือดแดง รวมไปถึงการเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

9.เสริมความแข็งแกร่งให้กับกระดูกและฟัน ถ้าหากคุณเป็นมังสวิรัติ น้ำแตงกวาสามารถเป็นตัวแทนของนมที่จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นให้กับกระดูกและฟันให้มากขึ้น

10.ช่วยส่งเสริมให้ผิวสวยอย่างสมบูรณ์แบบ ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามหลายคนแนะนำให้ดื่มน้ำแตงกวา เพื่อช่วยในการชำระล้างสิวออกจากผิว เนื่องจากแตงกวามีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถช่วยลดอาการอักเสบของผิวและสิวให้น้อยลงได้

น้ำมะเขือเทศ
มะเขือเทศมีเบต้าแคโรทีนสูงมาก จึงช่วยบำรุงสายตา ต่อต้านมะเร็ง (โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก)
มีวิตามินซีสูง ที่่่ช่วยเสริมภูมิต้านทางให้กับร่างกาย ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ผ่องใส ทำให้ผิวไม่เหี่ยวย่น ช่วยในการย่อยอาหาร ฟอกเลือด ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ ทำให้สดชื่น เป็นยาดับร้อนถอนพิษ แก้แผลร้อนในช่องปาก ทำให้เลือดเย็น นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี1 ซึ่งเป็นอาหารที่สำคัญในต่อพัฒนาการทางสมอง และยังพบไลโคปีนที่อุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ดี ในปัจจุบันพบว่ามะเขือเทศมีฤทธิ์ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง และยังเป็นอาหารของผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดันโลหิต และโรคตับอักเสบ เพราะการรับประทานเป็นประจำจะช่วยลดอาการของโรคดังกล่าวได้


น้ำแครอท
น้ำแครอทเป็นน้ำผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยแคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียม รวมไปถึงแคโรทีนที่สามารุเปลี่ยนวิตามินเอภายในร่างกายและช่วยดูดซึมไปใช้ได้ทันที และน้ำแครอทยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยป้องกันและต่อต้านโรคมะเร็งได้

ขอบคุณข้อมูลจาก ฟรินน์ดอทคอมและkondoodee.com

ธรรมชาติบำบัด ด้วยน้ำผักและผลไม้

 


     การรักษาโดยไม่ใช้ยา หรือที่เรียกว่า “ธรรมชาติบำบัด” ในปัจจุบันได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการดื่มน้ำผักผลไม้สดที่กลายเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการธรรมชาติบำบัด ไม่ว่าจะเพื่อการรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย โรคที่รักษายาก หรือโรคเรื้อรัง น้ำผักผลไม้สดก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยทำให้มีสุขภาพดีเท่านั้น แต่ยังช่วยทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นอีกด้วย เนื่องจากน้ำผักผลไม้อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ในการบำรุงสุขภาพ และช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ วิธีการทำน้ำผักผลไม้ คือ การทำให้น้ำและกากแยกออกจากกัน ซึ่งเราเรียกว่าการคั้น ประโยชน์ที่ได้จากการคั้นก็คือ กากในผกผลไม้ที่ย่อยไม่ได้จะถูกแยกออกไป เหลือเพียงแต่น้ำที่มีแต่สารอาหารล้วนๆ จึงมีความเข้มข้นกว่าการรับประทานสดด้วยวิธีปกติ เช่น เมื่อเรารับประทานแครอทแบบสดๆ ร่างกายของเราจะดูดซึมเบต้าแคโรทีนได้เพียง 1% ส่วนที่เหลืออีก 99% จะจับอยู่กับกากใย แต่ถ้าเป็นการคั้นน้ำแครอท กากใยเหล่านั้นจะถูกแยกออกไป คุณจึงได้รับเบต้าแคโรทีนเกือบ 100% คุณจึงมั่นใจได้ว่าการคั้นน้ำผักผลไม้ดื่มทุกวัน ร่างกายของคุณจะได้รับวิตามิน เกลือแร่ และเอนไซม์เต็มๆ

 
ประโยชน์น้ำผักผลไม้ น้ำผักผลไม้เป็นน้ำดื่มที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด การดื่มน้ำผักผลไม้เป็นประจำจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงมีอายุยืนยาว เพราะช่วยบำรุงสุขภาพและช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ผักผลไม้แต่ละชนิดล้วนมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นตัวช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งรวมไปถึงโรคมะเร็งต่างๆ ด้วย ช่วยป้องกันและชะลอความเสื่อมของอวัยภายในร่างกายต่างๆ การดื่มน้ำผักผลไม้สามารถช่วยพัฒนาสมอง เสริมสร้างความจำ และเป็นอาหารของสมองได้เป็นอย่างดี ช่วยบำรุงและรักษาสายตาได้ เพราะผักผลไม้บางชนิดจะมีวิตามินเอสูง เช่น แครอท ผักบุ้ง ตำลึง ฟักทอง มะละกอ มะม่วงสุก เป็นต้น ผักผลไม้บางชนิดยังมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพรที่ช่วยบำบัดและรักษาโรคบางชนิดได้เป็นอย่างดี การดื่มน้ำผักผลไม้เป็นประจำจะช่วยทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดใสได้ เพราะผักผลไม้หลายชนิดจะอุดมไปด้วยวิตามินซีและวิตามินอี ซึ่งเป็นอาหารผิวที่มีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวดูมีสุขภาพดีและเรียบเนียน คำแนะนำในการดื่มน้ำผักผลไม้ น้ำผักผลไม้เป็นเพียงอาหารเสริมสำหรับผักผลไม้สดมากกว่าที่จะเป็นอาหารหลักแทนที่ผักผลไม้สดทั้งหมด เพื่อประโยชน์สูงสุดในการบริโภค ควรดื่มน้ำผลไม้ไม่เกิน 1 แก้วต่อวัน (ประมาณ 4-8 ออนซ์) และให้คั้นดื่มโดยไม่ต้องเพิ่มความหวานใดๆ อีก เนื่องจากในผลไม้จะมีน้ำตาลธรรมชาติอยู่แล้ว อีกทั้งยังให้แคลอรี่เพียง 60-80 แคลอรี่เท่านั้น น้ำผลไม้คั้นสดควรเป็นสิ่งแรกที่เข้าสู่ร่างกายในตอนเช้า เพราะน้ำผลไม้จะช่วยทำความสะอาดระบบต่างๆ ภายในร่างกาย รวมถึงการอุ่นเครื่อง ทำให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว กระฉับกระเฉงมากยิ่งขึ้น เพราะร่างกายสามารถดูดซึมคุณค่าจากผลไม้สดได้ง่าย ดังนั้นควรดื่มก่อนกินมื้อเช้าประมาณ 10 นาที หรือหากดื่มหลังมื้ออาหารในแต่ละวัน โดยค่อยๆ จิบน้ำผลไม้และกลั้วไปรอบๆ ปาก เพื่อเพิ่มเอนไซม์ในอาหารช่วยทำให้กระเพาะอาหารย่อยได้ดีขึ้น การดื่มน้ำผลไม้คั้นสดเป็นประจำจะช่วยถนอมสุขภาพสมองให้แข็งแรง ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์ ควรเลือกรับประทานน้ำผักผลไม้อย่างหลากหลาย หรือรับประทานให้ครบทั้ง 5 สี เนื่องจากผักผลไม้แต่ละสีแต่ละชนิดจะมีประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป ก่อนนำผักหรือผลไม้มาคั้นเป็นน้ำ ควรนำมาล้างให้สะอาดเสียก่อน โดยส้ม ฝรั่ง แครอท องุ่น ผักคะน้า มีสารเคมีสูงอยู่ในระดับต้นๆ (ส่วนน้ำผลไม้อย่างส้มที่ผลิตในโรงงาน กระบวนการผลิตจะไม่มีการปอกเปลือก แต่จะคั้นกันทั้งเปลือก ทำให้สารเคมีเหล่านี้อาจตกค้างในน้ำผลไม้ที่เราดื่มได้ ส่วนน้ำส้มคั้นที่ขายสดๆ ก็ตามท้องตลาดก็ควรจะระวังด้วย เพราะนอกจากจะมีสารเคมีพวกยาฆ่าแมลงตกค้างที่เปลือกส้มแล้ว ตัวเครื่องที่ใช้คั้นเองก็เป็นตัวสะสมแบคทีเรียได้เป็นอย่าง เพราะเมืองไทยมีอากาศร้อน ทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้เร็ว) อ่านบทความเรื่องการล้างผักได้ที่ 16 วิธีการล้างผักผลไม้ให้สะอาด ในการปั่นน้ำผักรับประทานเองในครัวเรือน มีคำแนะนำว่า ควรเลือกปั่นผักโดยใช้เครื่องปั่นในระดับความเร็วที่ไม่มากจนเกินไป เพราะการปั่นผักด้วยความเร็วสูงๆ จะทำให้เกิดการสูญสลายของแร่ธาตุและสารอาหารบางอย่างได้ ผักผลไม้บางชนิดอาจมีสารหรือแร่ธาตุบางชนิดในปริมาณมาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดโทษกับผู้ป่วยเรื้อรังบางโรคได้ เช่น ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักผลไม้ที่มีกรดออกซาลิกสูง (Oxalic acid) เช่น ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำใบชะพลู และน้ำแครอท เป็นต้น น้ำผักผลไม้ที่ได้รับความนิยมสูงโดยมากจะมีส่วนผสมของมะเขือเทศและโซเดียมในปริมาณมาก ผู้บริโภคจึงควรระมัดระวังในการเลือกบริโภค อีกทั้งผักผลไม้บางชนิดจะมีน้ำตาลสูง จึงควรไตร่ตรองอย่างระมัดระวังก่อนจะบริโภค เรียบเรียงข้อมูลโดย ฟรินน์ดอทคอม

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

กระเจี๊ยบ


กระเจี๊ยบ

กระเจี๊ยบมีถิ่นกำเนิดในทวีปอัฟริกา เดิมนั้นชาวท้องถิ่นปลูกกระเจี๊ยบเพื่อนำเมล็ดมาทำน้ำมันปรุงอาหาร ต่อมาจึงมีการบริโภค ยอดอ่อน ใบและกลีบเลี้ยง กลุ่มพันธุ์ที่ใช้เป็นผักนี้ถูกนำไปปลูกในทวีปอเมริกาและประเทศอินเดีย ราว 400 ปีที่ผ่านมา กระเจี๊ยบมีลักษณะต่างๆโดยเฉพาะดอกคล้ายชบา และฝ้าย จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับพืชทั้งสอง

ส่วนที่นำมาทำน้ำกระเจี๊ยบคือกลีบเลี้ยงและริ้วประดับอวบน้ำ ซึ่งเก็บเมื่อผลติดเมล็ดแล้ว หากนำกลีบเลี้ยงไปทำแห้ง แล้วนำมาชงกับน้ำร้อน ก็จะได้ชากระเจี๊ยบ ใบกระเจี๊ยบกินสดเป็นผัก สำหรับเมล็ดกระเจี๊ยบนั้นมีน้ำมันถึง 17-20% และมีคุณสมบัติคล้ายน้ำมันเมล็ดฝ้าย

กระเจี๊ยบเป็นไม้ล้มลุกอายุหนึ่งปี สูง 1-2 เมตร ลำต้นสีม่วงแดง ใบเดี่ยว ดอกเดี่ยว กลีบดอกสีชมพูหรือเหลืองบริเวณกลางดอกสีม่วงแดง เกสรตัวผู้เชื่อมกันเป็นหลอด ผลแห้ง แตกได้ มีกลีบเลี้ยงสีแดงฉ่ำน้ำหุ้มไว้

ในตำรายาไทยมีการใช้ใบและยอดอ่อนเพื่อแก้ไอ เมล็ดกระเจี๊ยบช่วยบำรุงธาตุและขับปัสสาวะ ผลการทดลองคลีนิกพบว่าน้ำกระเจี๊ยบมีฤทธิ์ขับปัสสาวะดี

สีแดงในน้ำกระเจี๊ยบคือ แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) เช่นเดียวกับที่พบในบลูเบอร์รี่ มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเกิดมะเร็งและช่วยเสริมให้สุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ต่อต้านเชื้อโรคได้ดี เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และเสริมการทำงานของเม็ดเลือดแดงได้ดีขึ้น กลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบแดงยังมี เพคติน (Pectin) สูง จึงสามารถใช้ทำแยมได้

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

อัญชัน

อัญชัน


อัญชันเป็นชื่อ ของพันธุ์ไม้เถาชนิดหนึ่ง ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Clitoria ternatea Linn. อยู่ในวงศ์ Papilionaceae ซึ่งเป็นวงศ์ ของถั่วประเภท pea ทั้งหลาย เช่น ถั่วลันเตา (sweet pea) มี ลักษณะเป็นไม้เถาเลื้อยมีมือสำหรับเกาะ (tendril) สามารถเลื้อย ไปตามต้นไม้ รั้ว หรือซุ้มต่างๆ ได้ดี ใบเป็นชนิดใบรวม บนก้านใบแต่ละก้านมีใบย่อย ระหว่าง ๕-๙ ใบ ดอกคล้ายดอกถั่วทั่วไป (เช่น ถั่วลันเตา ถั่วพู ถั่วฝักยาว) หากเป็นดอกชั้นเดียว กลีบใหญ่ มีลักษณะคล้ายเปลือกหอยเชลล์ (shell) แต่อัญชันต่างจากถั่วอื่นๆ ที่มีดอกซ้อนด้วย ดอกอัญชันซ้อน จะมีหลายกลีบ และดอกใหญ่กว่า ดอกชั้นเดียว 
ดอกอัญชันมี ๓ สี คือ สี ขาว สีน้ำเงิน และสีม่วง พันธุ์ดอก สีม่วงนั้นบางตำราว่าเกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างพันธุ์ดอกสีขาวกับพันธุ์ดอก สีน้ำเงิน ซึ่งผู้เขียนไม่แน่ใจว่าถูกต้อง เพราะเคยเห็นอัญชันดอกขาวบางต้น มีกลีบสีขาวลายน้ำเงิน แสดงว่าเป็นพันธุ์ผสมระหว่างดอกขาวกับดอกน้ำเงิน แต่ข่มกันไม่ลงจึงแสดงออกมาทั้ง ๒ สี ไม่กลายเป็นสีม่วงอย่างที่บอกในบางตำรา 

อัญชันที่พบในประเทศไทย มีทั้งพันธุ์บ้านที่ผ่านการคัดเลือกให้ดอกใหญ่ ดก สีเข้ม เป็นต้น กับ พันธุ์ที่ขึ้นเองตามที่รกร้างว่างเปล่า ซึ่งเป็นพันธุ์ดอกชั้นเดียว ดอกเล็ก และสีไม่เข้ม คนไทยส่วนใหญ่ นิยมปลูกอัญชันดอกสีน้ำเงินเข้ม กลีบดอกซ้อน ดอกขนาดใหญ่และ ดก เพราะนอกจากสวยงามแล้ว ยังนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง อีกด้วย 

ถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของ อัญชันนั้น บางตำราบอกว่าอยู่ที่ประเทศอินเดีย แต่บางตำราว่าอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ แล้วจึงแพร่มาถึงอินเดีย ส่วนประเทศไทยคงรับมาจากประเทศอินเดียอีกทีหนึ่ง และคงจะรับ มานานแล้ว เพราะพบในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ ของหมอปรัดเล พ.ศ.๒๔๑๖ กล่าวถึงอัญชันว่า"อัญชัน : เปนชื่อเครือเถาวัลอย่างหนึ่ง มันมีดอกเขียวบ้าง ขาวบ้าง ไม่มีกลิ่น" 

อัญชัน เป็นพืชล้มลุก ตามธรรมชาติจะงอกจากเมล็ดในฤดูฝน ออกดอกเป็นช่อ ช่อละ ๒-๔ ดอก เมื่อดอกผสมเกสรเกิดฝักแบนยาว ประมาณ ๕ เซนติเมตร มีเมล็ดอยู่เป็นข้อๆ ชอบขึ้นกลางแจ้งที่ได้ รับแดดเต็มที่ ปกติอัญชันจะเลื้อย ได้ยาวประมาณ ๗ เมตร เมื่อถึง ฤดูแล้งจะแห้งตายไป แต่หากมีน้ำ พอเพียงและดูแลอย่างเหมาะสม ก็สามารถปลูกและได้ดอกอัญชันตลอดปี 

อัญชัน มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษ ว่า Butterfly pea หรือ Shell creeper ในภาษาไทยเรียกว่า อัญชัน อัญชันบ้าน อังชัน อัญชันเขียว (ภาคกลาง) เอื้องจัน แดงจัน อังจัน (ภาคเหนือ) 

ประโยชน์ของอัญชัน 
แพทย์แผนไทยใช้อัญชันเป็นยารักษาโรคมาแต่โบราณ เช่น 
ราก : รสเย็นจืด บำรุงดวงตา ทำให้ตาสว่าง ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้ปวดฟัน ทำ ให้ฟันทน 
น้ำคั้นจากใบสดและดอกสด : ใช้หยอดตา แก้ตาอักเสบ ฝ้าฟาง ตาแฉะ มืดมัว 
น้ำคั้นจากดอก : ใช้ทาคิ้ว ทาหัว เป็นยาปลูกผม (ขน) ทำให้ ผมดกดำเงางาม 
สี จากดอกอัญชัน ใช้ทำประโยชน์ได้หลายอย่าง นิยมใช้ดอกสีน้ำเงินซึ่งมีสาร Anthocyanin ใช้ ทำสีขนม เช่น ขนมดอกอัญชัน ขนมช่อม่วง ทำน้ำดื่มสมุนไพร ได้ น้ำสีม่วงสวย เพราะสีของดอกอัญชันละลายน้ำได้ รวมทั้งสีเปลี่ยน ไปตามความเป็นกรดด่าง คล้าย กระดาษลิตมัสที่ใช้ตรวจสอบความ เป็นกรดด่างของสารละลาย 
ดอกอัญชันกินเป็นผักได้ ทั้ง จิ้มน้ำพริกสดๆ หรือชุบแป้งทอด 

อัญชัน เป็นไม้เถาที่ปลูกง่าย แข็งแรง ทนทาน ขึ้นคลุมรั้วและ ซุ้มต่างๆ ได้ดี จึงนิยมปลูกเป็นไม้ ประดับตามสถานที่ต่างๆ นอกจาก นั้นอัญชันเป็นพืชตระกูลถั่ว จึงปลูก คลุมดินเป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดินให้อุดมสมบูรณ์ได้ดี ลำต้นและใบสด ใช้เป็นอาหารของแพะ แกะ ได้ 

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557

หญ้าฮี๋ยุ่มหรือหญ้ารีแพร์

หญ้าฮี๋ยุ่มหรือหญ้ารีแพร์



หญ้าฮี๋ยุ่ม สำหรับผู้หญิงที่ต้องการคืนความสาว และต้องการให้ช่องคลอดกระชับขึ้น เลยมีชื่อเรียกว่าหญ้ารีแพร์ ชื่อเรียกอื่นๆได้แก่ หญ้าเหนียวหมา หญ้าอีเหนียว ไผ่เหล็ก และหญ้าขนหมอยแม่ม่าย
ในไทยมักเรียกกันว่า หญ้าเซนโตทีก้า เพราะใช้ในแง่เป็นหญ้าอาหารสัตว์  เป็นพืชมีอายุหลายปี ลำต้นสูง 50 - 70 เซนติเมตร ใบมีขนาดกว้าง 1.5 - 2.5 เซนติเมตร ยาว 6.5 – 15.0 เซนติเมตร ตามลำต้น กาบใบ และตัวใบจะเห็นเส้นใบลายเป็นทางยาวชัดเจน ใบมีขน ขอบใบเรียบ บางครั้งเป็นคลื่นเล็กๆ ทั้งสองด้าน ลิ้นใบ เป็นแผ่นบางๆ สีน้ำตาล สูง 2 - 3 มิลลิเมตร ช่อดอกแบบ ยาว 15 - 43 เซนติเมตร ช่อดอกย่อย มี 2 - 3 ดอก ดอกมีสีเขียว ยาวประมาณ 8 มิลลิเมตร ก้านสั้นๆ ที่กาบดอกด้านล่างหรือ มีลักษณะคล้ายหนามแหลมเล็ก ๆ จะติดไปกับเสื้อผ้าขณะเดินผ่าน ทำให้แพร่กระจายได้ง่าย ขยายพันธุ์โดยเมล็ดหรือท่อนพันธุ์ สัตว์ชอบกินปานกลาง การเจริญหลังการตัดหรือหลังสัตว์แทะเล็มช้า แต่ทนร่มเงามาก

การนำหญ้ารีแพร์มาวิจัยต่อยอดถึงสรรพคุณทางยา โดยการวิเคราะห์ด้วยวิธี “แก๊สโครมาโทกราฟี” คือนำหญ้ามาเผาจนเกิดควัน แล้วตรวจสารเคมีของหญ้าที่ระเหยขึ้นมานั้นพบว่ามีสาร 2 ชนิดคือ
1.สารกลุ่มโพลีฟีนอล มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ต้านสารอนุมูลอิสระค่อนข้างสูง ผลคือช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ และ
2.สารไฟโตสเตอรอล มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยลดคอเลสเทอรอลได้ในระดับสัตว์ทดลอง นอกจากนี้ ยังมีสารกลุ่มอื่นอีก จะต้องตรวจวิเคราะห์ในเชิงลึกต่อไป ว่ามีสารที่มีประโยชน์มากกว่านี้หรือไม่ เช่น ซิลิกา ช่วยให้เนื้อเยื่อแข็งตัว มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ลดการอักเสบ ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น มักนำมาเป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง เป็นต้น แต่หากสูดดมสารตัวนี้มาก จะก่อให้เกิดโรคปอดจากหินฝุ่นได้ แต่หากการเผาไหม้หญ้ารีแพร์ก่อให้เกิดสารตัวนี้จริงก็ไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตราย รวมถึงการนำไปต้มดื่มก็ไม่ก่อให้เกิดอันตรายเช่นกัน

สรรพคุณ คนโบราณ ใช้หญ้าฮี๋ยุ่มในผู้หญิงหลังคลอดทำให้มดลูกเข้าอู่เร็ว ช่วยกระชับช่องคลอด และรักษาแผลได้ด้วย ฆ่าเชื้อโรค และหญ้าชนิดนี้เป็นพืชตระกูลไผ่จึงมีซิลิกาซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูและสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ วิธีการที่ใช้คือ ขอนไม้ที่ผุหรือฟืน มาจุดไฟ แล้วเอาหญ้าหียุ่มทั้งห้า  สดหรือแห้งก็ได้ มากำใหญ่ วางบนขอนดอกที่ก่อไฟไว้ จะเกิดควันขึ้น จากนั้นผู้หญิงก็นุ่งผ้าซิ่นโดยถอดกางเกงในออก แล้วให้ไปยืนคร่อมขอนแล้วให้ถ่างผ้าถุงออกกว้าง ๆ ให้ควันของหญ้าฮียุ่มรมเข้าไปในผ้าถุงตรงบริเวณปากช่องคลอด จะทำให้คืนความกระชับ มดลูกเข้าอู่เร็ว ให้ทำวันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยรักษาแผลจากการคลอดลูกให้แห้งและหายเร็วขึ้น บีบมดลูกให้แห้ง ขับน้ำคาวปลา และทำให้สามีไม่ต้องรอนาน ในการที่อยากจะมีเพศสัมพันธ์หลังจากคลอดบุตร เพราะแผลหายเร็วช่องคลอดกระชับกลับมาดีเหมือนเดิม หญ้าฮี๋ยุ่ม คืนความสาวให้ทันใจ หญ้าสมุนไพร รู้ใจหญิงหลังคลอด.

ที่มา:http://www.abhaiherb.com/

วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ใบบัวบก......อาหารสมอง


ใบบัวบก......อาหารสมอง

ใบบัวบกได้ถูกนำมาใช้บำบัดอาการที่เกี่ยวข้องกับสมองมาเป็นเวลานาน และให้ผลเป็นที่น่าเชื่อถือจนได้ชื่อเรียกว่า "อาหารสมอง" เพราะคนสมัยก่อนเชื่อว่าการรับประทานจะช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำรองให้กับสมองและได้ผลดีทั้งในแง่ของการรักษาส่วนของสมองที่ถูกทำลายแล้วให้ดีขึ้น และยังป้องกันไม่ให้สมองที่ปกติอยู่ถูกทำลายหรือเสื่อมลง

นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการลดความเคลียดจากกการทำงานหนัก ปรับปรุงระบบการรับส่งกระแสประสาท ปฏิกิริยารีเฟลกซ์ ( Refiex Reoction ) หรือปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นรอบตัวเรา เพิ่มความสามารถในการทำงาน ทั้งในแง่ของกำลังกาย และกำลังสมอง ควบคุมระดับแรงดันโลหิตให้ปกติ ลดภาวะความเป็นหมัน ช่วยชะลอความแก่หรือช่วยป้องกันร่างกายด้วยการกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกายได้อีกด้วยครับ

นอกจากทำน้ำใบบัวบกแล้วนำมาทำยำกับหมูสับ กุ้งหนือไข่ต้มก้ออร่อยดีนะครับ....อาหารบำรุงสมอง เครดิตDr.C

ว่านรางจืด ราชาแห่งการถอนพิษ

ว่านรางจืด ราชาแห่งการถอนพิษ

ว่านรางจืด ถอนพิษ 
แก้พิษจากอาหาร – สุรา แก้ร้อนใน กระหายน้ำ พอกแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ความดันสูง ไม่เหมาะกับเบาหวาน และไม่ควรกินต่อเนื่อง อ่าน---สรรพคุณและประโยชน์ 20 ข้อ ของรางจืด

รางจืด หรือ ว่านรางจืด ภาษาอังกฤษ Laurel Clockvine, Blue Trumphet Vine ว่านรางจืด ชื่อวิทยาศาสตร์Thumbergia laurifolia Lindl. จัดอยู่ในวงศ์ Acanthaceae มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ อีกเช่น รางเย็น คาย (ยะลา), ดุเหว่า (ปัตตานี), ทิดพุด (นครศรีธรรมราช), ย่ำแย้ แอดแอ (เพชรบูรณ์), น้ำนอง (สระบุรี), จอลอดิเออ ซั้งกะ ปั้งกะล่ะ พอหน่อเตอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), กำลังช้างเผือก ยาเขียว เครือเขาเขียว ขอบชะนาง (ภาคกลาง), ว่านรางจืด เป็นต้น

ลักษณะของรางจืด
• ต้นรางจืด เป็นไม้เลื้อยหรือไม้เถา ที่มีเนื้อแข็ง ลำต้นหรือเถานั้นจะกลมเป็นปล้อง มีสีเขียวสดหรือสีเขียวเข้มลำต้นไม่มีขนและไม่มีมือจับเหมือนกับตำลึง และมะระ แต่อาศัยลำต้นในการพันรัดขึ้นไป รางจืดเป็นพืชในเขตร้อนและเขตอบอุ่นของทวีปเอเชีย จึงสามารถขึ้นได้ทั่วไปตามป่าดิบชื้นของประเทศไทยทั่วทุกภาค เจริญเติบโตได้เร็วมาก และขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เถาในการปักชำ
• ใบรางจืด เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน ลักษณะของใบคล้ายรูปหัวใจหรือรูปใบขอบขนานหรือเป็นรูปไข่ โคนใบมนเว้า ปลายใบเรียวแหลม ใบกว้างประมาณ 4-7 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8-14 เซนติเมตร มีเส้นอยู่ 3 เส้นออกจากโคนใบ
• ดอกรางจืด ลักษณะของดอกออกเป็นช่อห้อยลงมาตากซอกใบ ช่อละ 3-4 ดอก ดอกมีสีม่วงอมฟ้า มีใบประดับสีเขียวประแดง มีกลีบเลี้ยงรูปจาน ดอกเป็นรูปแตรสั้น โคนกลีบดอกมีสีเหลืองอ่อน โคนดอกเป็นหลอดกรวยยาวประมาณ 1 เซนติเมตร เชื่อมติดกันเป็นหลอด และมักมีน้ำหวานบรรจุอยู่ภายในหลอด กลีบดอกมีปลายแยกเป็น 5 กลีบ มีเกสรตัวผู้ 4 อัน
• ผลรางจืด ลักษณะเป็นฝักกลม ปลายเป็นจะงอย เมื่อแก่จะแตกออกเป็น 2 ซีก

สมุนไพรรางจืด “ราชาแห่งการถอนพิษ” เป็นสมุนไพรที่กระทรวงสาธารณสุขรณรงค์ให้เกษตรกรหรือบุคคลทั่วไปเลือกใช้เพื่อใช้แก้พิษต่างๆ เช่น พิษจากยาฆ่าแมลง ยาเบื่อ สารตะกั่ว ฯลฯ ยิ่งเมื่ออยู่ในสถานที่ห่างไกลจากโรงพยาบาล การจะนำส่งแพทย์เพื่อรับการรักษาอาจจะต้องใช้ระยะเวลานาน จนอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ แต่ถ้ามีต้นรางจืดปลูกอยู่แถวบ้าน เราก็สามารถใช้ใบรางจืดที่ไม่แก่หรืออ่อนมากเกินไป หรือใช้รากที่มีอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป ในขนาดปริมาณเท่านิ้วชี้ มาใช้เพื่อรักษาบรรเทาอาการของพิษเฉพาะหน้าไปก่อน ก่อนที่จะนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล โดยส่วนที่นำมาใช้เป็นยานั้นก็ได้แก่ ใบ ราก และเถาสด

ในปัจจุบันผู้คนได้รับสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 45% โดยสารพิษเหล่านี้ร่างกายต่างก็ไม่ต้องการ เพราะเมื่อเกิดการสะสมในร่างกายเข้าไปในปริมาณมากและต่อเนื่อง ก็อาจจะทำให้เป็นโรคต่างๆ ขึ้นมาได้ในอนาคต อย่างเช่น โรคมะเร็ง ซึ่งแน่นอนว่าอัตราการเกิดโรคของคนในยุคปัจจุบันนี้ก็ได้เพิ่มมากขึ้นทุกๆวัน ยิ่งเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในเมืองด้วยแล้วยิ่งน่าเป็นห่วง ซึ่งสมุนไพรรางจืดนี้อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณในการช่วยขับสารพิษต่างๆออกจากร่างกาย เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคได้ในอนาคตนั่นเอง

สรรพคุณของรางจืด
1. รากและเถาของรางจืด สามารถใช้รับประทานเป็นยาแก้ร้อนใน (ราก,เถา)

2. รางจืด สรรพคุณช่วยแก้อาการกระหายน้ำ (ราก,เถา)

3. สรรพคุณรางจืด ใบและรากของรางจืด สรรพคุณใช้เป็นปรุงเป็นยาถอนพิษไข้ได้ (ใบ,ราก)

4. ใบรางจืด สรรพคุณใช้เป็นยาพอกบาดแผล (ใบ,ราก)

5. สรรพคุณว่านรางจืด ช่วยรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก (ใบ,ราก)

6. ว่านรางจืดสรรพคุณ ช่วยบรรเทาอาการผื่นแพ้ต่างๆ (ใบ,ราก)

7. ช่วยทำลายพิษจากยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ซึ่งจัดเป็นสารพิษที่ร้ายมากมากที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะในปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ก็สามารถทำให้คนเสียชีวิตได้เลย เพราะสารพิษชนิดนี้จะไปทำให้เกิดการสร้างออกซิเจนที่ไม่เสถียรขึ้นมา ซึ่งออกซิเจนเหล่านี้จะไปทำลายเยื้อหุ้มเซลล์และทำให้เซลล์ตาย โดยสารพิษพาราควอตนั้นจะอันตรายที่สุด เพราะจะไปทำให้เนื้อเยื่อในปอดถูกทำลายจนไม่สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้ และเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งจากรายงานของโรงพยาบาลศิริราชพบว่าผู้ที่ได้รับสารพิษพาราควอตจะเสียชีวิตทุกราย (อันตราการเสียชีวิตประมาณ 80%) ซึ่งแน่นอนว่ารางจืดสามารถช่วยลดอันตราการเสียชีวิตลงได้ แต่ต้องรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ ร่วมด้วย ส่วนงานศึกษาวิจัยของอาจารย์พาณี เตชะเสน และคณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่าการใช้น้ำคั้นจากใบรางจืดป้อนให้หนูทดลองที่กินยาฆ่าแมลง “โฟลิดอล” พบว่ามันสามารถช่วยแก้พิษได้ โดยช่วยลดอัตราการตายลงเยอะมากจาก 56% เหลือเพียง 5% เท่านั้น และจากงานวิจัยของคุณสุชาสินี คงกระพันธ์ ที่ได้ทำการทดลองใช้สารสกัดแห้งจากใบรางจืดป้อนให้หนูทดลองที่รับยาฆ่าแมลงในกลุ่มออร์แกนโนฟอสเฟต ที่มีชื่อว่า “มาราไธออน” พบว่ามันสามารถช่วยช่วยชีวิตหนูทดลองได้มากถึง 30% (ใบ,ราก)

8. ช่วยแก้พิษจากสัตว์ที่เป็นพิษและพืชที่เป็นพิษ เช่น แก้พิษจากแมงดาทะเล ปลาปักเป้า ซึ่งเป็นพิษที่อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้โดยง่ายหากได้รับในปริมาณมากๆ โดยสารพิษที่ว่านี้คือ เทโทรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีสารแก้พิษนี้โดยเฉพาะ การรักษาต้องรักษาแบบประคับประคองอาการ แต่การใช้รางจืดเพื่อรักษาพบว่าเมื่อผ่านไปประมาณ 40 นาทีผู้ป่วยกลับมีอาการดีขึ้นจนน่าประหลาดใจ (ใบ,ราก)

9. รางจืดช่วยต่อต้านพิษจากสารตะกั่วต่อสมอง ซึ่งสารตะกั่วนี้ก็มาจากมลพิษจากเครื่องยนต์ และแน่นอนว่าคนที่อาศัยอยู่ในเมืองจะมีโอกาสได้รับสารตะกั่วสูงกว่าคนทั่วไป โดยพิษจากสารตะกั่วนี้ก็มีผลต่อระบบภายในร่างกายหลายระบบด้วยกัน แต่ที่สำคัญเลยก็คือระบบสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำและการเรียนรู้ มีงานวิจัยระบุออกมาว่ารางจืดแม้มันจะไม่ได้ช่วยลดระดับของสารตะกั่วในเลือดในหนูทดลอง แต่มันก็สามารถช่วยลดพิษของสารตะกั่วต่อระบบความจำและการเรียนรู้ในหนูทดลองได้ สรุปก็คือมันทำให้เซลล์ประสาทตายน้อยลงนั่นเอง (ใบ,ราก)

10. ช่วยถอนพิษจากยาเบื่อชนิดต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกายโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม (เช่น พิษจากผลไม้ที่ติดอยู่ฝักที่รับประทาน เป็นต้น) รวมไปถึงพิษจากสตริกนินให้เป็นกลาง ซึ่งจากการทดลองของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าถ้าหากใช้ผงจากรากรางจืดผสมกับน้ำยาสตริกนินก่อนป้อนให้หนูทดลอง พบว่าหนูทดลองไม่เป็นอะไร แสดงให้เห็นว่าผงจากรากรางจืดสามารถช่วยดูดซับสารพิษชนิดนี้ไว้ได้ (ใบ,ราก)

11. รางจืด สรรพคุณช่วยในการลดเลิกยาบ้า ซึ่งงานวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒพบว่ารางจืดมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทคล้ายๆกับฤทธิ์ของสารเสพติดอย่างแอมเฟตามีนและโคเคน ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยเพิ่มการหลั่งของฮอร์โมนโดพามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่หลั่งออกมามากในขณะที่ผู้ป่วยใช้สารแอมเฟตามีน ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยสารสกัดจากรางจืดนั้นเกิดความพึงพอใจ เช่นเดียวกับการใช้สารเสพติด และหากนำไปใช้ในการรักษากับผู้ป่วยก็จะทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องทุรนทุรายมากนัก ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการช่วยลดและเลิกการใช้เสพติดได้ (ใบ,ราก)

12. รางจืด แก้เมา สรรพคุณช่วยแก้อาการเมาค้าง แก้พิษจากแอลกอฮอล์ พิษจากการดื่มเหล้าในปริมาณมากเกินไป โดยคณะเภสัชศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ทำการศึกษาวิจัยฤทธิ์ของรางจืดในการต่อต้านพิษจากแอลกอฮอล์ต่อตับ และพบว่าสารสกัดด้วยน้ำของรางจืดนั้นสามารถช่วยป้องกันการตายของเซลล์ตับซึ่งเกิดจากพิษของแอลกอฮอล์และช่วยลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดได้ และมหาวิทยาลัยขอนแก่นก็ได้มีการศึกษาฤทธิ์ของรางจืดต่ออาการขาดเหล้า และพบว่าสารสกัดจากรางจืดช่วยทำให้ลดภาวะซึมเศร้า ทำให้พฤติกรรมที่เกี่ยวกับเคลื่อนไหวในหนูทดลองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น และยังช่วยลดการถูกลายเซลล์ประสาทของหนูเนื่องจากการเหล้าได้ แต่ไม่มีผลต่อการช่วยลดความวิตกกังวล (ใบ,ราก)

13. รางจืด เบาหวาน รางจืดช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมเบาหวานและความดันได้ จากงานศึกษาวิจัยของหมอชาวบ้านจำนวนหนึ่งได้ทำการทดลองในหนูเบาหวานที่ได้รับน้ำต้มจากใบรางจืด ได้ผลว่ามันสามารถช่วยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ยังพบว่าการให้สารสกัดด้วยน้ำของใบรางจืดมีฤทธิ์ช่วยลดน้ำตาลในเลือดและยังช่วยทำให้บีต้าเซลล์ของตับอ่อนฟื้นฟูขึ้นบ้างแม้จะไม่สมบูรณ์ และพบว่าสารสกัดจากน้ำของใบรางจืดนั้นมีผลทำให้ความดันโลหิตของหนูลดลง และช่วยทำให้หลอดเลือดแดงคลายตัว (การใช้สมุนไพรรางจืดในการรักษาโรคเบาหวานและความดันนั้น ควรรักษาร่วมไปกับแผนปัจจุบันและมีการวัดระดับน้ำตาลและระดับความดันอย่างใกล้ชิด เพราะการศึกษาวิจัยดังกล่าวนั้นอยู่ในขั้นตอนการทดลองกับสัตว์เท่านั้น รวมไปถึงต้องระวงการเกิดการเสริมฤทธิ์กันเองของตัวยาดังกล่าวด้วย)

14. รางจืดมีฤทธิ์ในการต่อต้านมะเร็ง โดยสารใดๆ ก็ตามที่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ศักยภาพสูงมันสามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้ แต่สำหรับข้อดีของรางจืดนั้นมันมีฤทธิ์ในการต้านไม่ให้สารชนิดดังกล่าวออกฤทธิ์ ซึ่งแตกต่างจากกวาวเครือ ที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นการแบ่งตัวและสร้างนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดงทำให้เม็ดเลือดแดงมีก้อนใหญ่ขึ้น

15. สารสกัดน้ำจากใบรางจืดมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูงมาก
16. ช่วยต่อต้านและแก้อาการอักเสบต่างๆ เช่น อาการผดผื่นคัน แมลงสัตว์กัดต่อย เริม งูสวัด อีสุกอีใส โดยจากการศึกษาพบว่ารางจืดนั้นมีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบสูงกว่ามังคุด ถึง 2 เท่า ! และยังมีความปลอดภัยสูงกว่าอีกด้วย นอกจากนี้สารสกัดจากรางจืดในรูปแบบชนิดครีมก็สามารถช่วยลดอาการอักเสบได้ดีเทียบเท่ากับครีมสเตียรอยด์ (ใบ,ราก)

ประโยชน์ของรางจืด
1. สมุนไพรรางจืด สมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูงมากชนิดหนึ่ง ซึ่งเราสามารถกินยอดอ่อน ดอกอ่อนเป็นผักได้ โดยจะใช้ลวกกิน แกงกิน ก็ทำได้เหมือนกับผักพื้นบ้านทั่วๆไป นอกจากนี้ยังนิยมกินน้ำหวานจากดอกรางจืดที่บ้านแล้วได้อีกด้วย โดนไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ แต่อย่างไรก็ตาม การกินรางจืดในปริมาณติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง อาจจะต้องคอยติดตามการเปลี่ยนแปลงของโลหิตวิทยาหรือเคมีคลินิกที่อาจเกิดขึ้นไปด้วย

2. ชารางจืด ใบรางจืดสามารถนำมาหั่นเป็นฝอย ตากลมให้แห้งแล้วนำมาชงกับน้ำร้อนดื่มแทนชาได้ ส่วนรสชาติที่ได้ก็ดีไม่แพ้กับใบชาเลยที่เดียว แถมยังมีกลิ่นหอมอีก และยังช่วยล้างพิษในร่างกายได้อีกด้วย

3. ในปัจจุบันได้มีการนำสมุนไพรรางจืดมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ แคปซูลรางจืด หรือ รางจืดแคปซูล เพื่อความสะดวกและง่ายต่อการใช้ประโยชน์

4. การปลูกรางจืดนอกจากจะใช้ประโยชน์ในด้านสมุนไพรแล้ว ก็ยังนิยมปลูกไว้เพื่อชมดอก แล้วก็ยังสามารถช่วยบังแสงแดดทำให้เกิดร่มเงาได้อีกด้วย (แต่อย่าลืมว่ารางจืดเป็นไม้เลื้อย เลื้อยแหลก เลื้อยจนรก เลื้อยแบบไร้การควบคุม)

คำแนะนำ
• รางจืดวิธีใช้ประโยชน์จากใบสดรางจืดในการรักษาพิษ หากใช้สำหรับคนให้ใช้ประมาณ 10-12 ใบ (แต่ถ้าใช้สำหรับวัวควายให้ใช้ 20-30 ใบ) เมื่อได้ใบสดให้นำมาตำจนละเอียดผสมกับย้ำซาวข้าวประมาณครึ่งแก้ว ว่านรางจืดวิธีรับประทานก็ง่ายๆ เพียงนำมาคั้นเอาแต่น้ำมาดื่มให้หมดทันทีที่มีอาการ และอาจจะต้องดื่มซ้ำอีกภายในครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงถัดมา

• การใช้ประโยชน์จากรากรางจืดในการรักษาพิษ หากใช้สำหรับคนให้ใช้ประมาณ 1-2 องคุลี (แต่ถ้าหากใช้กับวัวควายให้ใช้ประมาณ 2-4 องคุลี) เมื่อได้รากมาแล้วให้นำมาฝนหรือนำมาตำเข้ากับน้ำซาวข้าว แล้วนำมาดื่มให้หมดทันทีที่มีอาการ และอาจจะต้องใช้ซ้ำอีกภายในครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงเช่นเดียวกับการใช้ใบรางจืด

• สำหรับการใช้รางจืดเพื่อถอนพิษยาฆ่าแมลง สำหรับผู้ป่วยที่ดื่มยาฆ่าแมลง ใช้ถอนยาพิษ ยาเบื่อ และพิษจากสตริกนินนั้น ต้องใช้ยารางจืดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงจะได้ผลดี เพราะถ้ายาซึมเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมากหรือทิ้งไว้ข้ามคืนรางจืดก็จะได้ผลน้อยลงนั่นเอง

• รากของรางจืดนั้นจะมีสรรพคุณทางยามากกว่าที่ใบถึง 4-7 เท่า ! หากเป็นไปได้การเลือกใช้รากถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

• รางจืดที่จะมีประสิทธิภาพดีที่สุด ก็คือรางจืดชนิดเถาดอกสีม่วง

• ที่สำคัญดินที่นำมาใช้ในการปลูกรางจืด หากผสมด้วยขี้เถ้าแกลบหรือผงถ่านป่น ก็จะช่วยทำให้ต้นรางจืดนั้นมีสรรพคุณทางยาที่มากขึ้นไปอีก

• ข้อควรระวังในการใช้รางจืดก็คือ การใช้รางจืดมันร่วมกับตัวยาชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาในการรักษาอย่างต่อเนื่องก็ควรจะระวังไว้ด้วย เพราะรางจืดอาจจะไปขับยาเหล่านั้นออกจากร่างกายได้นั่นเอง

• แม้ว่ารางจืดจะสามารถช่วยล้างสารพิษได้จริง แต่ในปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อมูลในการวิจัยหรือเอกสารใดที่บ่งชี้ได้ว่า หากเราใช้ไปนานๆติดต่อกัน หรือใช้ในปริมาณที่มากเกินไปจะเกิดผลอย่างไรบ้าง ซึ่งจุดนี้นักวิชาการทางด้านนี้จึงไม่แนะนำที่จะให้รับประทานอย่างต่อเนื่อง ฉะนั้นคุณควรใช้เป็นครั้งคราวในยามที่จำเป็นหรือเมื่อต้องการที่จะรักษาโรค เมื่อได้ผลหรือหายดีแล้วก็ควรจะหยุดใช้ เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่เรายังไม่รู้และอาจจะเกิดขึ้นได้ และไม่เฉพาะแต่สมุนไพรรางจืดเท่านั้น สมุนไพรชนิดอื่นก็ด้วย เพราะเมื่อรับประทานเข้าไปในร่างกายแล้วยังไงก็ต้องผ่านกระบวนการทำงานของตับและไต ดังนั้นหากคุณใช้สมุนไพรติดต่อกันเป็นเวลานานก็ควรจะตรวจสุขภาพของตับและไตด้วย

• สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน การใช้ก็ควรจะระมัดระวังด้วยเพราะอาจจะทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้

• รางจืดผลข้างเคียง สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืด เมื่อเกิดอาการแพ้รางจืดก็อาจจะมีผลต่อระบบทางเดินหายใจได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่ามีระดับอาการแพ้มากน้อยน้อยแค่ไหน ถ้าหากมีอาการแพ้ไม่มากก็อาจจะเป็นแค่ผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง

• แม้ว่ารางจืดจะมีสรรพคุณที่ดีต่อร่างกายในการช่วยขับล้างสารพิษ แต่การนำมาใช้หรือนำมารับประทานก็ควรใช้อย่างพอดีและสมเหตุสมผล หากพิจารณาดูตัวเองหรือได้รับการวินิจฉัยจากผู้เชี่ยวชาญว่าร่างกายมีสารพิษมากเกินไป คุณก็สามารถรับประทานได้ แต่ก็ต้องรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมถูกต้องและถูกเวลา

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สะระแหน่ สรรพคุณ

สะระแหน่

สะระแหน่สรรพคุณ

สะระแหน่เป็นพืชล้มลุกลำต้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมเลื้อยไปบนดินหรือใต้ดินขยายกิ่งก้านสาขาออกไปโดยใช้ไหลหรือลำต้นใต้ดิน ใบรูปกลม ขอบใบหยัก สีเขียวเข้ม ไม่มีขน (ต่างจากพวก mint ของฝรั่งที่มีขนยาวกว่า)ดอกเกิดบนช่อดอก กลีบดอกสีขาว สะระแหน่เป็นพืชที่แพร่หลายในเขตอบอุ่น เป็นพืชที่มีน้ำมันหอมระเหย อันประกอบด้วยสารเมนธอล (Menthol) อยู่สูง จึงทำให้มีรสเย็นสดชื่อนั่นเอง

สะระแหน่ในฐานะสมุนไพรไทย

แพทย์แผนไทย นำเอาสะระแหน่มาปรุงเป็นยารักษาโรคได้หลายขนาน โดยระบุสรรพคุณว่า กลิ่นฉุนหอมร้อน สรรพคุณคือ แก้ปวดท้อง แก้จุกเสียด ขับผายลม แก้แน่น แก้ไอ ขับเสมหะ ขยี้ทาขมับ แก้ปวดศีรษะ ดมแก้ลม ทาแก้ฟกบวม นอกจากนี้ยังใช้เป็นกระสายแทรกแก้โรคเด็ก เช่น ทรางชัก และช่วยให้ผายลมได้ดี ลดอาการท้องขึ้น ท้องเฟ้อ โดยถ้าจะสรุปตามการประยุกต์ใช้สามารถนำไปใช้ได้ง่ายๆ ด้วยสูตรตามตำราสมุนไพรไทยดังนี้
รักษาอาการปวดศรีษะ ปวดฟัน เจ็บคอ เจ็บปาก เจ็บลิ้น โดยดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่ 5 กรัม กับน้ำ 1 ถ้วย ผสมเกลือเล็กน้อย วันละ 2 ครั้ง
รักษาอาการบิดท้องร่วง อุจจาระเป็นเลือด โดยนำใบสะระแหน่ต้มดื่มแต่น้ำ
แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย โดยตำใบสะระแหน่ให้ละเอียด พอกบริเวณที่โดนกัด
ช่วยห้ามเลือดกำเดาได้ โดยใช้สำลีชุบน้ำที่คั้นจากใบสะระแหน่ หยอดที่รูจมูก
รักษาอาการปวดหู โดยนำน้ำคั้นจากใบสะระแหน่หยอดหู จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ดี
รักษาอาการหน้ามือตาลาย โดยรับประทานน้ำต้มใบสะระแหน่และขิงสด

ประโยชน์ด้านอื่นๆนอกจากด้านสมุนไพรของสะแหน่

สะระแหน่เป็นสมุนไพรไทยที่มีกลิ่นหอม เพราะมีน้ำมันหอมระเหยอยู่มาก สามารถสกัดออกมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมยา เป็นต้น เนื่องจากสะระแหน่เป็นพืชในสกุลมินต์ จึงมีกลิ่นคล้ายเมนทอล อันเป็นส่วนประกอบสำคัญของลูกอมประเภทรสเย็นทั้งหลาย แม้สะระแหน่ไทยจะมีส่วนประกอบของเมนทอลอยู่ในน้ำมันหอมระเหยน้อยกว่ามินต์ชนิดอื่นๆ แต่สะระแหน่ก็มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ดีเด่นไม่แพ้มินต์ชนิดใด อนาคตคงมีการพัฒนานำเอากลิ่นสะระแหน่ไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น

วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2557

กวาวเครือขาว

ประโยชน์ของกวาวเครือขาว

สรรพคุณของกวาวเครือขาว
1.  ประโยชน์ของกวาวเครือขาวช่วยบำรุงผิวพรรณให้เต่งตึง เปล่งปลั่งสดใสนุ่มนวลเรียบเนียน
2.  เป็นสมุนไพรอายุวัฒนะ มีส่วนช่วยในการชะลอวัย
3.  ประโยชน์กวาวเครือขาวช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย และลดเลือนริ้วรอยบริเวณผิวหน้าและผิวกาย
4.  กวาวเครือขาวสรรพคุณช่วยขยายทรวงอกให้มีขนาดใหญ่ขึ้น แก้ปัญหาทรวงอกหย่อนคล้อยให้กลับมาเต่งตึงเหมือนเดิม
5.  ช่วยเพิ่มปริมาณเส้นผม และช่วยให้เส้นผมดกดำ
6.  ช่วยให้ผมขาวกลับคืนสภาพปกติ ลดการหลุดล่วงของเส้นผม
7.  ฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นมีส่วนช่วยลดความมันบนใบหน้า
8.  มีส่วนในการช่วยลดสิว ฝ้า กระ
9.  ชวยสมานริ้วรอยบนใบหน้าจากความหยาบกร้าน
10. ช่วยเพิ่มความกระชุ่มกระชวยให้กับร่างกาย
11. ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย
12. ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย เมื่อยล้าของร่างกาย
13. ช่วยให้นอนหลับสบาย
14. บำรุงสมอง ช่วยให้ความจำดีขึ้น
15. สำหรับผู้ที่ผอมแห้ง จะช่วยทำให้ดูอ้วนท้วมสมบูรณ์ขึ้น
16. ช่วยให้รับประทานให้มีรสชาติอร่อยขึ้น
17. ช่วยบำรุงโลหิต ทำให้มีพลัง
18. ช่วยป้องกันโรคตาฟาง และต้อกระจก
19. ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้
20. ช่วยบำรุงอวัยวะสืบพันธุ์ให้เจริญ
21. ใช้เป็นฮอร์โมนทดแทนในเพศหญิงได้ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
22. ช่วยรักษาอาการหมดประจำเดือนในวัยก่อนและหลังหมดประจำเดือน ที่มีอาการบกพร่องของฮอร์โมนเอสโตรเจน
23. ช่วยทำให้ช่องคลอดของหญิงวัยทองไม่แห้งด้วย
24. มีช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งเต้านม และมะเร็งมดลูก
25. แก้อาการปวดประจำเดือน ปัญหาประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ
26. ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
27. ช่วยให้การเคลื่อนไหวการเดินเหินคล่องแคล่วขึ้น
28. มีช่วยลดและรักษาอาการ vasomotor (อาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกกลางคืน)
29. สำหรับผู้ที่เคยมีบุตรแล้วจะช่วยทำให้ช่องคลอดกระชับขึ้น และช่วยลดปัญหาหน้าท้อง สะโพก ต้นขาลายได้
30. สำหรับผู้ที่มีบุตรยาก เชื่อว่าจะทำให้มีบุตรง่ายขึ้น
31. มีการศึกษาทดลองในสัตว์ต่างๆ (หนู สุนัข แมว) พบว่ากราวเครือขาวช่วยคุมกำเนิดได้ทั้ง 2 เพศ คือ ทำให้สัตว์เพศผู้ไม่อยากผสมพันธุ์ ส่วนเพศเมียช่องคลอดและมดลูกจะขยายใหญ่ทำให้การตกไข่ถูกยับยั้ง
32. ในการรับประทานไม่ควรหวังผลในการเพิ่มทรวงอก หรือบำรุงสมรรถภาพทางเพศ เพราะยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันทางด้านความปลอดภัยและคุณสมบัติอย่างชัดเจน แต่ควรใช้เพื่อบำรุงร่างกาย แก้ปัญหาประจำเดือนซะมากกว่า
33. นำมาผลิตเป็นกวาวเครือขาวแคปซูล และกวาวเครือขาวแบบครีมเพื่อช่วยขยายหน้าอก

กวาวเครือขาวผลข้างเคียง
1.  ตำรายาแผนโบราณระบุไว้ว่า คนหนุ่มสาวห้ามรับประทาน (ในที่นี้หมายถึงผู้ที่มีอายุน้อยกว่า20 ปี)
2.  ห้ามใช้ในหญิงวัยเจริญพันธุ์ เพราะตัวยาอาจจะไปรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเพศและระบบประจำเดือนได้ หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
3.  เด็กหญิงวัยก่อนมีประจำเดือน ไม่ควรรับประทาน
4.  สตรีที่อยู่ในระหว่างให้นมบุตร ไม่ควรรับประทาน
5.  ผู้ที่เป็นโรคมะเร็ง เนื้องอก หรือเป็นโรคต่อมไทรอยด์โต ไม่ควรรับประทาน
6.  ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับทรวงอก มดลูกและรังไข่ เช่น เป็นซีสต์ พังผืด เนื้องอกเป็นก้อน มะเร็ง ก็ไม่ควรรับประทาน
7.  ผู้ที่ดื่มสุรา และมีประวัติเป็นโรคตับเป็นพาหนะไวรัสตับอักเสบบีที่มีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูง ก็ไม่ควรรับประทาน
8.  กวาวเครือขาวอันตรายไม่ควรรับประทานในปริมาณมากและต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานหรือติดต่อกันนานกว่า 2 ปี
9.  ห้ามรับประทานเกินขนาดที่แนะนำ (ไม่เกินวันละ 100 mg.)
10.ห้ามรับประทานของหมักดองเปรี้ยว ดองเค็ม (ตำราแผนโบราณ)
11.ควรอาบน้ำวันละ 3 ครั้ง (ตำราแผนโบราณ)
12.ห้ามไม่ให้ตากอากาศเย็นเกินไป (ตำราแผนโบราณ)
13.ฮอร์โมนเหล่านี้หากได้รับมากจนเกินไปอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้
14.โทษของกวาวเครือขาว อาจจะทำให้เยื่อหุ้มอัณฑะหนาตัวและอาจเป็นมะเร็งอัณฑะในเพศชายได้ หากรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน
15.อันตรายจากกวาวเครือขาวในเพศหญิงอาจมีผลทำให้เต้านมแข็งเป็นก้อนหรืออาจทำให้เกิดเนื้องอกจนเป็นมะเร็งเต้านมได้ หากรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน
16.กวาวเครือนั้นมีพิษทำให้เมาเบื่อตัวเองการรับประทานมาเกินไปอาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืดได้ ด้วยเหตุนี้ควรรับประทานสมุนไพรที่มีส่วนช่วยป้องกันหรือรักษาอาการท้องอืดร่วมด้วย เช่น พริกไทย เป็นต้น
17.หากรับประทานกราวเครือขาวแล้วอาจจะทำให้ประจำเดือนมามากกว่าปกติ จนบางท่านรู้สึกกังวล แต่การที่ประจำเดือนมามากนี้ก็ถือเป็นผลดีต่อร่างกายในการขับของเสียทำให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น จึงไม่ต้องเป็นกังวล
18.สามารถใช้ครีมบำรุงทรวงอก (Breast Cream) ร่วมกับกราวเครือขาวได้ในการเพิ่มขนาดทรวงอกได้
19กวาวเครือขาว ผลข้างเคียงและอาการอื่นๆที่พบได้ทั่วไป เช่น เจ็บคัดเต้านม ปวดศีรษะ คลื่นไส้ มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด เป็นต้น

แหล่งอ้างอิง : คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (www.thaicrudedrug.com)

ประโยชน์ของถั่วดำ 40 ประการ



ประโยชน์ของถั่วดำ 40 ประการ


1.ถั่วดำมีรสหวาน สรรพคุณช่วยบำรุงโลหิต

2.ช่วยบำรุงสายตา

3.ช่วยขจัดพิษในร่างกาย

4.ช่วยขับเหงื่อ

5.ถั่วดำ สรรพคุณช่วยแก้อาการร้อนใน

6.ช่วยรักษาดีซ่าน

7.ถั่วดำ มีสารที่ช่วยบรรเทาอาการปวดลำไส้เล็ก

8.ช่วยขับลมในกระเพาะ

9.ช่วยขับของเหลวในร่างกาย

10.ช่วยบำรุงไต ป้องกันไตเสื่อม

11.ช่วยแก้อาการบวมน้ำ

12.ช่วยแก้อาการเหน็บชา

13.ช่วยแก้อาการปวดเอว

14.ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย

15.ช่วยบำรุงหัวใจ

16.ถั่วดำอุดมไปด้วยแคลเซียม ซึ่งช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ทำให้กระดูและฟันแข็งแรง

17.นอกจากถั่วดำจะให้โปรตีนแล้ว แล้วยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์หรือเส้นใย ซึ่งช่วยในการขับถ่าย และป้องกันอาการท้องผูก

18.ถั่วดำ มีคุณสมบัติในการช่วยลดความอ้วนได้ เนื่องจากในถั่วดำมีสัดส่วนของโปรตีนถึง 40% และมีกรดไขมันไม่อิ่มตัว 20% โดยอุดมไปด้วยสารลดความอ้วน และสารที่ช่วยกำจัดสารพิษ

19.ช่วยควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากเส้นใยที่มีมากในถั่วจะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มท้องได้นานขึ้น และทำให้ร่างกายมีพลังงานสม่ำเสมอ

20.ในถั่วดำมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็ง รวมไปถึงโรคในผู้ใหญ่ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือบทบาทการช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ถึงร้อยละ 40 และมะเร็งลำไส้ตรงได้ถึงร้อยละ 80 นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งในกระเพาะอาหารได้ด้วย ซึ่งจากงานวิจัยระบุว่าผู้ที่รับประทานบ่อยๆ จะมีความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารน้อยกว่าผู้ที่ได้รับประทานถึงร้อยละ 30 รวมไปถึงฤทธิ์ในการป้องกันมะเร็งปอดได้ถึงร้อยละ 50

21.ถั่วดำมีสารไอโซฟลาโวนส์ ซึ่งเป็นสารที่ช่วยป้องกันเซลล์เจริญเติบโตผิดปกติ จากปัญหาการหลั่งฮอร์โมนผิดปกติจนกลายเป็นโรคอ้วน และยังช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก อันมีสาเหตุมาจากการหลั่งฮอร์โมนแอนโดรเจน หรือฮอร์โมนเพศชาย มากเกินไปได้

22.ถั่วดำมีสารที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์โปรติเอส ซึ่งช่วยป้องกันและลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งได้ ช่วยมะเร็งเต้านม และยังส่งผลดีต่อฮอร์โมนเพศหญิงอีกด้วย

23.ช่วยยับยั้งโรคเบาหวาน เนื่องจากเส้นใยในถั่วดำเป็นเส้นใยชนิดละลายน้ำ จึงช่วยลดความเร็วของการดูดซึมกลูโคสให้ดูดซึมในร่างกายช้าลง จึงสามารถยับยั้งโรคเบาหวานได้

24.ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

25.ช่วยป้องกันและรักษาโรคโลหิตจาง เนื่องจากถั่วดำอุดมไปด้วยวิตามินบี12 วิตามินบี9 หรือกรดโฟลิก และเบต้าแคโรทีน แถมยังมีธาตุเหล็กที่สูงกว่าเนื้อสัตว์ถึง 4 เท่า มันจึงมีประโยชน์โดยตรงต้อผู้เป็นโรคโลหิตจางอย่างมาก

26.ถั่วดำอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ที่ช่วยบำรุงโลหิต และเป็นส่วนหนึ่งของสารในเม็ดเลือดแดงที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย จึงช่วยป้องกันภาวะขาดธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง สมองไม่ดี หรือคิดอะไรไม่ค่อยออก ฯลฯ

27.ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและช่วยลดคอเลสเตอรอล เนื่องจากถั่วดำอุดมไปด้วยวิตามินอีและโพแทสเซียมที่ช่วยลดความดันโลหิต ด้วยการขยายเส้นโลหิตให้กว้างมากขึ้น ทั้งยังมีแคลเซียมที่ช่วยทำให้กล้ามเนื้อของเส้นเลือดเกิดความยืดหยุ่นมากขึ้นอีกด้วย

28.ช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ซึ่งจากผลการวิจัยระบุว่าผู้ที่รับประทานถั่วดำในปริมาณมากกว่าจะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่รับประทานถั่วดำน้อยกว่าหรือไม่รับประทานเลย

29.ล้างพิษด้วยถั่วดำ ถั่วดําช่วยล้างพิษในร่างกาย เนื่องจากถั่วดำมีสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นถั่วที่มีสารล้างพิษที่มีปริมาณสูงสุด และยังมีสารสำคัญอย่างแอนโทไซยานินที่เป็นสารล้างพิษที่ดี โดยเมื่อเทียบกับผลไม้อย่างส้มแล้ว พบว่าถั่วดำจะมีปริมาณของสารล้างพิษมากกว่าส้มถึง 10 เท่า ! แต่การทำให้ถั่วดำสุกจะสูญเสียสารล้างพิษไปบ้าง แต่ก็ยังสามารถช่วยล้างพิษในร่างกายได้อย่างประสิทธิภาพ

30.การรับประทานถั่วดำเป็นประจำ ช่วยส่งผลดีต่อสุขภาพผิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ช่วยทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส ช่วยเพิ่มความกระชับ ทำให้ผิวหน้าดูมีชีวิตชีวา อีกทั้งยังช่วยลดเลือนรอยแดงจากสิว ป้องกันการเกิดกระบนผิว เพราะอุดมไปด้วยวิตามินอี และสารแอนโทไซนานินที่ช่วยเพิ่มการทำงานของคอลลาเจน

31.มีคำกล่าวว่าการรับประทานถั่วจะช่วยทำให้ฉลาดขึ้น ซึ่งก็ใกล้เคียงกับความจริง เนื่องจากมีสารเลซิตินที่ช่วยบำรุงสมอง ช่วยในการทำงานของสมอง จึงมีผลดีต่อผู้ที่ต้องใช้ความจำ และสำหรับคนชราก็สามารรถช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ด้วย

32.ถั่วดำยังเป็นแหล่งสำคัญของธาตุโบรอน (Boron) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการส่งกระแสประสาทของสมอง ทำให้ช่วยสมองทำงานได้ฉับไวขึ้น

33.ช่วยแก้ปัญหาอาการนอนไม่หลับ ด้วยการนึ่งถั่วแล้วไส้ไว้ในหมอน ขณะที่ยังอุ่นๆ ก็จะช่วยแก้อาการนอนไม่หลับได้

34.ถั่วดำเป็นแหล่งอาหารจากธรรมชาติที่มีโฟเลทสูง มีความสำคัญอย่างมากสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เพราะช่วยป้องกันการพิการแต่กำเนิดของทารกได้ นอกจากนี้ยังมีธาตุเหล็กที่ช่วยลดอาการอ่อนเพลียของสตรีขณะตั้งครรภ์ได้อีกด้วย

35.เมล็ดถั่วดำมีคุณค่าทางอาหารที่สูงใกล้เคียงพอๆ กับเมล็ดถั่วเขียว

36.ถั่วดำสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย แต่น้อยกว่าถั่วเขียว เช่น ในญี่ปุ่นจะนำไปใช้เพื่อเพาะถั่วงอกเป็นหลัก ส่วนอินเดียนิยมนำไปทำถั่วซีก ตลอดจนใช้บริโภคทั้งเมล็ด ด้วยการใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารจำพวกซุปหรือแกงต่างๆ หรือใช้ในอาหารประเภทหมัก ส่วนในบ้านเราจะใช้ทำงอกเป็นหลักและทำแป้ง เป็นต้น

37.ถั่วดำอุดมไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคโรทีน วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

38.เปลือกหุ้มเมล็ดมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งสามารถนำมาใช้แต่งสีขนมต่างๆ ได้ เช่น ขนมถั่วแปป แป้งจี้ เป็นต้น ด้วยการนำเมล็ดถั่วดำมาล้างให้สะอาด แล้วนำไปต้มเคี่ยวกับน้ำแล้วจะได้น้ำที่มีสีม่วง

39.เมล็ดถั่วดำเมื่อนำมาบดกับแป้งใช้ทำเป็นขนมได้ เช่น ขนมลูกชุบ ขนมเปี๊ยะ เป็นต้น

40.ถั่วดำเป็นพืชทนแล้ง สามารถปลูกได้ในดินแทบทุกชนิด มักนิยมใช้ปลูกเป็นพืชรองในปลายฤดูฝน ตามหลังพืชหลัก เช่น ถั่วเหลือง หรือข้าวโพดโดยเป็นพืชที่มีบทบาทในด้านเศรษฐกิจของประเทศเช่นเดียวกับถั่วเขียว

ประโยชน์ของถั่วเขียว




ประโยชน์ของถั่วเขียว 49 ประการ


1.โพแทสเซียมช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อในร่างกายให้แข็งแรง

2.ถั่วเขียวมีสารต้านเอนไซม์โปรตีเอสในปริมาณสูง ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านมะเร็ง

3.ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันและรักษาไข้หวัด

4.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยแมกนีเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยในการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย ช่วยผลิตโปรตีน และกาดหดตัวข้องกล้ามเนื้อ

5.ช่วยลดความดันโลหิต

6.ช่วยทำให้เจริญอาหาร

7.ช่วยลดระดับไขมันและคอเลสเตอรอล ช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือด ควบคุมน้ำหนักได้ เพราะถั่วเขียวมีส่วนประกอบของไขมันที่ต่ำมาก ไม่มีคอเลสเตอรอล และยังอุดมไปด้วยโปรตีนกับเส้นใยอาหาร

8.ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ

9.ถั่วเขียวมีฤทธิ์เย็น ออกฤทธิ์ตามเส้นลมปราณของหัวใจและม้าม

10.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยธาตุเหล็กซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดแดงในร่างกาย

11.ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและเบาหวานได้

12.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง และยังช่วยป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย

13.ช่วยขับร้อน แก้อาการร้อนใน และช่วยแก้พิษในฤดูร้อน

14.ถั่วเขียวมีประโยชน์ต่อลำคอและผิวหนัง และยังช่วยแก้อาการกระหายน้ำได้อีกด้วย

15.เมล็ดถั่วเขียวนำมาต้มกับเกลือ ใช้อมเพื่อรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้

16.ช่วยถอนพิษในร่างกาย

17.ช่วยกระตุ้นประสาท ถั่วเขียวเป็นแหล่งสำคัญของธาตุโบรอน (Boron) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการส่งกระแสประสาทของสมอง ทำให้ช่วยสมองทำงานได้ฉับไวมากขึ้น และยังอุดมไปด้วยฟอสฟอสรัส ที่ช่วยบำรุงเซลล์ประสาทและสมอง

18.ช่วยบำรุงสายตา ทำให้ตาสว่าง และรักษาตาอักเสบ (เปลือกสีเขียว) ช่วยแก้อาการตาพร่า ตาอักเสบ ด้วยการรับประทานถั่วเขียวต้มครั้งละ 15-20 กรัมเป็นประจำ

19.ช่วยรักษาคางทูมที่เป็นใหม่ๆ ด้วยการต้มถั่วเขียว 70 กรัมจนใกล้สุก แล้วใส่แกนกะหล่ำปลีลงไป / หัวต้มอีก 15 นาที กินเฉพาะน้ำวันละ 2 ครั้ง

20.ช่วยแก้อาการอาเจียนจากการดื่มเหล้า ด้วยการดื่มน้ำถั่วเขียวพอประมาณ

21.ช่วยขับของเหลวในร่างกาย

22.ในถั่วเขียวอุดมไปด้วยเส้นใยที่สามารถละลายน้ำได้ดี จึงช่วยในขบวนการทำความสะอาดของร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ

23.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยวิตามินบี2 ที่ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอกได้

24.ถั่วเขียวมีเส้นใยอาหารสูงจึงช่วยในการขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และยังส่งผลดีต่อระบบลำไส้โดยรวมอีกด้วย

25.เมล็ดถั่วเขียวนำมาต้มแล้วกินใช้เป็นยาขับปัสสาวะ

26.ช่วยแก้ลำไส้อักเสบ

27.ช่วยบำรุงตับ

28.ช่วยแก้อาการไตอักเสบ

29.ช่วยแก้ผดผื่นคัน

30.ช่วยลดบวม

31.ช่วยรักษาโรคข้อต่างๆ แก้ขัดข้อ

32.ช่วยรักษาฝี ด้วยการใช้ถั่วเขียวดิบหรือต้มสุก นำมาใช้ตำแล้วพอกเป็นยารักษาภายนอกช่วยในการบ่มหนองให้ฝีกสุก และยังใช้รักษาอาการอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น แก้ท้องร่วง การคลอดบุตรยาก และโรคท้องมาน

33.นำมาใช้ตำพอกแผล

34.ช่วยแก้พิษจากพืช พิษจากสารหนู และพิษอื่นๆ

35.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยวิตามินบี1 ที่ช่วยในการป้องกันโรคเหน็บชาได้เป็นอย่างดี

36.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยโฟเลทสูง ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เพราะช่วยป้องกันการพิการแต่กำเนิดของทารกได้

37.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยรักษาและสร้างความแข็งแรงให้กับเซลล์ผิวหนัง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวและยังช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะอีกด้วย

38.สำหรับผู้ที่เป็นสิวฝ้า เนื่องจากความร้อนในร่างกาย ให้รับประทานถั่วเขียวต้มน้ำตาล 1 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยป้องกันการเกิดสิวและทำให้สิวลดลงได้ เนื่องจากถั่วเขียวมีฤทธิ์เย็น ช่วยตับขับสารพิษกับความร้อนออกจากร่างกายได้

39.ถั่วเขียวดิบเป็นแหล่งของโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตชั้นยอด สามารถนำมาต้มกับน้ำตาลเพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย และทำให้อิ่มท้องได้นานยิ่งขึ้น

40.ถั่วเขียวมีโปรตีนสูงเมื่อเทียบกับถั่วเมล็ดแห้งชนิดอื่นๆ และยังเป็นโปรตีนที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ ซึ่งโปรตีนที่ได้จากพืช จะช่วยหลีกเลี่ยงการได้รับไขมันที่เกินความจำเป็นจากโปรตีนของเนื้อสัตว์ได้อีกด้วย

41.โปรตีนจากถั่วเขียวมีคุณสมบัติที่ย่อยง่ายและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายเกือบทั้ง

42.ถั่วเขียวสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้แทบทุกส่วน โดยเมล็ดใช้เป็นอาหารของมนุษย์และสัตว์ ส่วนลำต้นและเปลือกที่เหลือ สามารถนำมาไถกลบลงดิน เพื่อช่วยบำรุงดินให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เนื่องจากมีชีวมวล (Biomass)

43.ต้นถั่วเขียวที่เก็บฝักแล้ว สามารถนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้เป็นอย่างดี แถมยังมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าหญ้าอีกด้วย

44.ถั่วเขียว สามารถนำมาแปรรูปและใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย เช่น การนำมาใช้เพาะถั่วงอก หรือใช้ทำแป้งถั่วเขียว ทำวุ่นเส้น ทำซาหริ่ม หรือทำเป็นขนมต่างๆ เช่น ถั่วกวน เต้าส่วน เม็ดขนุน ถั่วแปบ ขนมลูกเต๋า ถั่วเขียวต้มน้ำตาล ทำข้าวเกรียบ ขนมครองแครง ขนมหันตรา ขนมลูกชุบ ขนมเทียนแก้ว ขนมเปียก ขนมกง ฯลฯ และฝักถั่วเขียวที่เกือบแก่ ยังนำมาใช้ต้มกับเกลือใช้กินเมล็ดได้เช่นเดียวกับถั่วแระ

45.กากถั่วเขียวเหลือจากโรงงานวุ้นเส้นสามารถนำมาใช้ทำเป็นอาหารสัตว์ หรือใช้ทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ได้

46.วุ้นเส้นที่ผลิตมาจากถั่วเขียวมีคุณสมบัติการตอบสนองต่อน้ำตาลในเลือดต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับอาหารคาร์โบไฮเดรตอื่นๆ อย่างเช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว หรือเส้นหมี่ เส้นก๋วยเตี๋ยว มันจึงเหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน

47.ถั่วเขียวยังสามารถนำมาใช้ในด้านความงามได้อีกด้วย โดยทำเป็นสครับถั่วเขียว สูตรทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น โดยไม่ทำลายผิวพรรณ เพราะมีค่า pH เท่ากับผิวกาย และช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของผิว อีกทั้งกลิ่นจากถั่วเขียวยังช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้อีกด้วย วิธีการทำสครับก็คือให้นำถั่วเขียวที่ยังไม่ต้มมาบดพอให้หยาบผสมกับน้ำเปล่าเล็กน้อย หรือน้ำผึ้งก็ได้ แล้วนำมาพอกที่ใบหน้าหรือผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วจึงล้างออก

48.ถั่วเขียวกับสูตรลดเลือนจุดด่างดำ หรือรอยแผลสิว รวมไปถึงรอยแผลที่เกิดจากผื่นคันตามร่างกาย ด้วยการใช้ถั่วเขียว 3 ช้อนโต๊ะ, มันฝรั่ง 1 หัว, และน้ำมันมะกอก 2 ช้อนชา ขั้นแรกก็ให้นำถั่วเขียวและมันฝรั่งมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำไปต้มจนสุก จากนั้นให้นำถั่วเขียวและเนื้อมันฝรั่งมาบดรวมกันแล้วเติมน้ำมันมะกอกลงไปผสมจนเข้ากัน เสร็จแล้วนำมาใช้ขัดผิวบริเวณที่จุดด่างดำ โดยใช้เวลาขัดอย่างน้อย 5 นาทีแล้วล้างออก

49.ถั่วเขียวยังถูกนำมาใช้ในการพอกหน้าขัดหน้าและขัดตัวเพื่อช่วยบำรุงผิวพรรณ ดูดซับไขมัน ช่วยลดสิว ป้องกันการเกิดสิว และช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ทำให้ใบหน้าเต่งตึง

วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ประโยชน์ของถั่วแดง



ประโยชน์ของถั่วแดงหลวง 29 ประการ


1.ถั่วแดง สรรพคุณช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นเลือดในสมองปริแตกได้

2.ช่วยขับพิษในร่างกาย

3.ในถั่วยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่สามารถละลายน้ำได้ จึงช่วยในขบวนการทำความสะอาดของร่างกายได้ตามธรรมชาติ นอกจากจะช่วยทำความสะอาดลำไส้แล้ว ยังช่วยการสะสมของสารพิษในลำไส้ได้อีกด้วย

4.ช่วยบำรุงลำไส้

5.ช่วยในการขับถ่าย ช่วยในการย่อยอาหาร ป้องกันอาการท้องผูก และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

6.ช่วยบรรเทาอาการจุกเสียดแน่นท้อง

7.ช่วยขับปัสสาวะ

8.ช่วยบำบัดอาการประจำเดือนผิดปกติของสตรี

9.สรรพคุณถั่วแดง ช่วยลดอาการบวมน้ำ

10.ช่วยกำจัดหนอง

11.ช่วยลดอาการผื่นคันตามผิวหนัง

12.ถั่วแดงหลวง สรรพคุณช่วยป้องกันและลดอาการเหน็บชา

13.ช่วยบรรเทาอาการปวดบวม หรือปวดตามข้อต่อ

14.ช่วยบำรุงช่องคลอด รักษามดลูก สำหรับสตรีที่มักมีอาการปวดช่วงท้องน้อย ซึ่งอาจเกิดจากการมีเลือดคั่ง หรือมีความเย็นสะสมอยู่รอบๆ สะดือ รังไข่และมดลูก ให้คุณนำถั่วแดงครึ่งกิโล ใส่ลงในถุงผ้าแล้วมัดปากถุงด้วยเชือกปอ แล้วนำไปอบในไมโครเวฟประมาณ 3-4 นาที (ใช้ไฟปานกลาง) แล้วให้นำถุงถั่วแดงมาประคบบริเวณท้องน้อยเพื่อช่วยบรรเทาอาการเลือดคั่ง บรรเทาอาการอักเสบ และลดบวมได้ (แต่ก่อนจะนำมาประคบให้ใช้มือลูกไล้เบาๆ ที่ผิวหนังซึ่งตรงกับรังไข่แล้วค่อยประคบ)

15.ประโยชน์ของถั่วแดงหลวง ถั่วแดงจัดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอย่างหนึ่ง โดยโปรตีนที่ได้จากถั่วแดงนั้นมีคุณค่าทางอาหารเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์เลยทีเดียว แถมยังไม่ส่งผลเสียต่อภาพอีกด้วย

16.การรับประถั่วแดงนอกจากจะให้พลังงานแก่ร่างกายที่สูงแล้ว ยังทำให้รู้สึกอิ่มท้องได้นานอีกด้วย

17.ถั่วแดงมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และช่วยป้องกันโรคร้ายต่างๆ ได้

18.ถั่วแดงเป็นแหล่งอาหารที่ดีของธาตุเหล็ก ที่ช่วยบำรุงโลหิต ช่วยปรับสภาพเลือดในร่างกาย และธาตุเหล็กยังช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีแรง สมองไม่ค่อยดี คิดอะไรไม่ค่อยออกได้ ฯลฯ

19.การรับประทานถั่วแดงเป็นประจำ จะช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงหัวใจประเภทมีอาการใจสั่น และช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี

20.คุณประโยชน์ของถั่วแดง ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง เนื่องจากถั่วแดงอุดมไปด้วยวิตามินบีหลายชนิด

21.ถั่วแดงเป็นถั่วที่มีแคลเซียมสูง การรับประทานเป็นประจำสามารถช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ป้องกันภาวะกระดูกเสื่อม ป้องกันโรคกระดูกพรุน และแคลเซียมยังมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและการหดตัวของกล้ามเนื้อ

22.ช่วยรักษาและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล ทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีอาการดีขึ้น

23.ถั่วแดงอุดมไปด้วยแมกนีเซียม ที่ช่วยในการควบคุมการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย ควบคุมอุณหภมูิในร่างกาย ช่วยในการผลิตโปรตีนและการหดตัวของกล้ามเนื้อ ฯลฯ

24.ถั่วแดงลดน้ำหนัก ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล เนื่องจากถั่วแดงมีโปรตีนสูงแต่มีไขมันอิ่มตัวต่ำมาก ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถของระบบเผาผลาญในร่างกาย มีผลทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการได้รับโปรตีนจากถั่วแดงร่วมกับถั่วชนิดอื่นๆ เป็นประจำแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์นอกจากจะช่วยลดน้ำหนักตัวแล้วยังช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพต่างๆ ได้ดีในระยะยาว (ศาสตราจารย์ Mark Brick จาก Colorado State University)

25.ช่วยควบคุมน้ำหนัก เพราะถั่วแดงมีเส้นใยอาหารสูง จึงช่วยดูดซับน้ำและพองตัวได้ดี และมีคุณสมบัติที่ช่วยลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอล ทำให้ระบบการย่อยและการดูดซึมอาหารช้าลง ทำให้รู้สึกอิ่มได้นาน จึงช่วยลดการกินจุบจิบได้ดี ซึ่งแตกต่างจากเนื้อสัตว์ที่ไม่มีเส้นใยอาหาร เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจึงไม่อิ่มท้องเท่ากับการรับประทานถั่วแดง ส่งผลทำให้น้ำหนักตัวโดยรวมลดลง

26.ในถั่วเมล็ดรูปไต ซึ่งรวมถึงถั่วแดง จะมีสารลิกแนน สารชาโปนิน และสารยับยั้งโปรติเอส ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันและลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก

27.ถั่วนอกจากจะอุดมไปด้วยโปรตีนแล้ว ยังเป็นแหล่งของสารอาหารต่างๆ มากมาย รวมไปถึงโฟเลต แคลเซียม ธาตุเหล็ก ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีประโยชน์สำหรับหญิงตั้งครรภ์แทบทั้งสิ้น เพราะช่วยป้องกันความเสี่ยงในการเกิดโรคระบบประสาทของทารก ป้องกันความผิดปกติของทารกในครรภ์ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการคลอดบุตรก่อนกำหนด หรือทารกมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ หรือทารกมีไอคิวลดลง ฯลฯ

28.ปัจจุบันถั่วถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ บางแห่งมีการเพาะปลูกเพื่อเป็นรายได้หลัก หรือใช้ปลูกเป็นเสริมหมุนเวียนกับพืชไร่ชนิดอื่นๆ โดยเกษตรกรนิยมปลูกถั่วแดงร่วมกับข้าวโพด เพราะนอกจากจะได้ผลผลิตข้าวโพดและถั่วแดงแล้ว ยังช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินด้วย และต้นข้าวโพดก็ทำหน้าที่เป็นค้างให้แก่ต้นถั่วแดง

29.ประโยชน์ถั่วแดง ส่วนใหญ่แล้วจะนำถั่วไปใช้ทำเป็นไส้ขนมต่างๆ เมนูถั่วแดง เช่น ถั่วแดงกวน ขนมปังไส้ถั่วแดง น้ำถั่วแดง เค้กชาเขียวถั่วแดง วุ้นถั่วแดงกวน โดรายากิ ซุปถั่วแดง ถั่วแดงอัดเม็ด ฯลฯ หรือใช้ทำเป็น แป้งถั่วแดง