วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ประโยชน์ของถั่วแดง



ประโยชน์ของถั่วแดงหลวง 29 ประการ


1.ถั่วแดง สรรพคุณช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นเลือดในสมองปริแตกได้

2.ช่วยขับพิษในร่างกาย

3.ในถั่วยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่สามารถละลายน้ำได้ จึงช่วยในขบวนการทำความสะอาดของร่างกายได้ตามธรรมชาติ นอกจากจะช่วยทำความสะอาดลำไส้แล้ว ยังช่วยการสะสมของสารพิษในลำไส้ได้อีกด้วย

4.ช่วยบำรุงลำไส้

5.ช่วยในการขับถ่าย ช่วยในการย่อยอาหาร ป้องกันอาการท้องผูก และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

6.ช่วยบรรเทาอาการจุกเสียดแน่นท้อง

7.ช่วยขับปัสสาวะ

8.ช่วยบำบัดอาการประจำเดือนผิดปกติของสตรี

9.สรรพคุณถั่วแดง ช่วยลดอาการบวมน้ำ

10.ช่วยกำจัดหนอง

11.ช่วยลดอาการผื่นคันตามผิวหนัง

12.ถั่วแดงหลวง สรรพคุณช่วยป้องกันและลดอาการเหน็บชา

13.ช่วยบรรเทาอาการปวดบวม หรือปวดตามข้อต่อ

14.ช่วยบำรุงช่องคลอด รักษามดลูก สำหรับสตรีที่มักมีอาการปวดช่วงท้องน้อย ซึ่งอาจเกิดจากการมีเลือดคั่ง หรือมีความเย็นสะสมอยู่รอบๆ สะดือ รังไข่และมดลูก ให้คุณนำถั่วแดงครึ่งกิโล ใส่ลงในถุงผ้าแล้วมัดปากถุงด้วยเชือกปอ แล้วนำไปอบในไมโครเวฟประมาณ 3-4 นาที (ใช้ไฟปานกลาง) แล้วให้นำถุงถั่วแดงมาประคบบริเวณท้องน้อยเพื่อช่วยบรรเทาอาการเลือดคั่ง บรรเทาอาการอักเสบ และลดบวมได้ (แต่ก่อนจะนำมาประคบให้ใช้มือลูกไล้เบาๆ ที่ผิวหนังซึ่งตรงกับรังไข่แล้วค่อยประคบ)

15.ประโยชน์ของถั่วแดงหลวง ถั่วแดงจัดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอย่างหนึ่ง โดยโปรตีนที่ได้จากถั่วแดงนั้นมีคุณค่าทางอาหารเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์เลยทีเดียว แถมยังไม่ส่งผลเสียต่อภาพอีกด้วย

16.การรับประถั่วแดงนอกจากจะให้พลังงานแก่ร่างกายที่สูงแล้ว ยังทำให้รู้สึกอิ่มท้องได้นานอีกด้วย

17.ถั่วแดงมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และช่วยป้องกันโรคร้ายต่างๆ ได้

18.ถั่วแดงเป็นแหล่งอาหารที่ดีของธาตุเหล็ก ที่ช่วยบำรุงโลหิต ช่วยปรับสภาพเลือดในร่างกาย และธาตุเหล็กยังช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีแรง สมองไม่ค่อยดี คิดอะไรไม่ค่อยออกได้ ฯลฯ

19.การรับประทานถั่วแดงเป็นประจำ จะช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงหัวใจประเภทมีอาการใจสั่น และช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี

20.คุณประโยชน์ของถั่วแดง ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง เนื่องจากถั่วแดงอุดมไปด้วยวิตามินบีหลายชนิด

21.ถั่วแดงเป็นถั่วที่มีแคลเซียมสูง การรับประทานเป็นประจำสามารถช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ป้องกันภาวะกระดูกเสื่อม ป้องกันโรคกระดูกพรุน และแคลเซียมยังมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและการหดตัวของกล้ามเนื้อ

22.ช่วยรักษาและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล ทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีอาการดีขึ้น

23.ถั่วแดงอุดมไปด้วยแมกนีเซียม ที่ช่วยในการควบคุมการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย ควบคุมอุณหภมูิในร่างกาย ช่วยในการผลิตโปรตีนและการหดตัวของกล้ามเนื้อ ฯลฯ

24.ถั่วแดงลดน้ำหนัก ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล เนื่องจากถั่วแดงมีโปรตีนสูงแต่มีไขมันอิ่มตัวต่ำมาก ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถของระบบเผาผลาญในร่างกาย มีผลทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการได้รับโปรตีนจากถั่วแดงร่วมกับถั่วชนิดอื่นๆ เป็นประจำแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์นอกจากจะช่วยลดน้ำหนักตัวแล้วยังช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพต่างๆ ได้ดีในระยะยาว (ศาสตราจารย์ Mark Brick จาก Colorado State University)

25.ช่วยควบคุมน้ำหนัก เพราะถั่วแดงมีเส้นใยอาหารสูง จึงช่วยดูดซับน้ำและพองตัวได้ดี และมีคุณสมบัติที่ช่วยลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอล ทำให้ระบบการย่อยและการดูดซึมอาหารช้าลง ทำให้รู้สึกอิ่มได้นาน จึงช่วยลดการกินจุบจิบได้ดี ซึ่งแตกต่างจากเนื้อสัตว์ที่ไม่มีเส้นใยอาหาร เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจึงไม่อิ่มท้องเท่ากับการรับประทานถั่วแดง ส่งผลทำให้น้ำหนักตัวโดยรวมลดลง

26.ในถั่วเมล็ดรูปไต ซึ่งรวมถึงถั่วแดง จะมีสารลิกแนน สารชาโปนิน และสารยับยั้งโปรติเอส ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันและลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก

27.ถั่วนอกจากจะอุดมไปด้วยโปรตีนแล้ว ยังเป็นแหล่งของสารอาหารต่างๆ มากมาย รวมไปถึงโฟเลต แคลเซียม ธาตุเหล็ก ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีประโยชน์สำหรับหญิงตั้งครรภ์แทบทั้งสิ้น เพราะช่วยป้องกันความเสี่ยงในการเกิดโรคระบบประสาทของทารก ป้องกันความผิดปกติของทารกในครรภ์ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการคลอดบุตรก่อนกำหนด หรือทารกมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ หรือทารกมีไอคิวลดลง ฯลฯ

28.ปัจจุบันถั่วถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ บางแห่งมีการเพาะปลูกเพื่อเป็นรายได้หลัก หรือใช้ปลูกเป็นเสริมหมุนเวียนกับพืชไร่ชนิดอื่นๆ โดยเกษตรกรนิยมปลูกถั่วแดงร่วมกับข้าวโพด เพราะนอกจากจะได้ผลผลิตข้าวโพดและถั่วแดงแล้ว ยังช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินด้วย และต้นข้าวโพดก็ทำหน้าที่เป็นค้างให้แก่ต้นถั่วแดง

29.ประโยชน์ถั่วแดง ส่วนใหญ่แล้วจะนำถั่วไปใช้ทำเป็นไส้ขนมต่างๆ เมนูถั่วแดง เช่น ถั่วแดงกวน ขนมปังไส้ถั่วแดง น้ำถั่วแดง เค้กชาเขียวถั่วแดง วุ้นถั่วแดงกวน โดรายากิ ซุปถั่วแดง ถั่วแดงอัดเม็ด ฯลฯ หรือใช้ทำเป็น แป้งถั่วแดง

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ข้าวเหนียวดำช่วยชะลอวัย ลดริ้วรอย


รูปภาพ : ข้าวเหนียวดำช่วยชะลอวัย ลดริ้วรอย

ข้าวเหนียวดำ เป็นธัญพืชที่คนไทย นิยมรับประทานมานาน เพราะให้ความเหนียว ความมัน มีรสชาติที่น่ารับประทาน

คนไทยโบราณเชื่อว่า ข้าวเหนียวเป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ มีคุณสมบัติออกฤทธิ์ร้อน นิยมปลูกในนาลุ่มที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ หรือปลูกในที่ดอนแบบข้าวไร่ทางภาคเหนือ ข้าวเหนียวมีหลายสายพันธุ์ แต่ที่คนส่วนใหญ่นิยมมีอยู่สองสี คือ ข้าวเหนียวสีขาว และข้าวเหนียวสีดำ

ข้าวเหนียวมี 2 สี คือ สีขาวและสีดำ(คนเหนือเรียกว่า"ข้าวก่ำ") แต่ข้าวเหนียวดำจะมีสารอาหาร ที่เป็นประโยชน์มากกว่าข้าวเหนียวขาว สารอาหารที่ว่า คือ “โอพีซี"(OPC)มีสรรพคุณช่วยชะลอการแก่ก่อนวัย และความเสื่อม ถอยของร่างกาย โดยสารโอพีซีที่พบในข้าวเหนียวดำ เป็นสารชนิดเดียวกับสารสกัดที่ได้ จากองุ่นดำองุ่นแดง เปลือกสน

ข้าวเหนียวสามารถแปรรูปไปเป็นอาหารอื่นได้ ส่วนใหญ่จะทำเป็นขนม เช่น เทศกาลตรุษจีนก็ทำขนมเข่ง เทศกาลออกพรรษาทำข้าวต้มลูกโยน ข้าวต้มผัด ข้าวหลาม ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวเหนียวนึ่งกินกับส้มตำ เป็นต้น

สาวไทยเมื่อครั้งอดีต นำมาช่วยบำรุงผิวพรรณให้เนียนขึ้น โดยการนำข้าวสารเหนียวแช่ให้นุ่ม ผสมกับใบตำลึงอ่อน สัดส่วน 1 ต่อ 1 ตำให้ละเอียด นำมาพอกผิวหน้า ผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นเพื่อช่วยลดริ้วรอยจุดด่างดำให้จางหายไป

ข้าวเหนียวดำช่วยชะลอวัย ลดริ้วรอย

ข้าวเหนียวดำ เป็นธัญพืชที่คนไทย นิยมรับประทานมานาน เพราะให้ความเหนียว ความมัน มีรสชาติที่น่ารับประทาน

คนไทยโบราณเชื่อว่า ข้าวเหนียวเป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ มีคุณสมบัติออกฤทธิ์ร้อน นิยมปลูกในนาลุ่มที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ หรือปลูกในที่ดอนแบบข้าวไร่ทางภาคเหนือ ข้าวเหนียวมีหลายสายพันธุ์ แต่ที่คนส่วนใหญ่นิยมมีอยู่สองสี คือ ข้าวเหนียวสีขาว และข้าวเหนียวสีดำ

ข้าวเหนียวมี 2 สี คือ สีขาวและสีดำ(คนเหนือเรียกว่า"ข้าวก่ำ") แต่ข้าวเหนียวดำจะมีสารอาหาร ที่เป็นประโยชน์มากกว่าข้าวเหนียวขาว สารอาหารที่ว่า คือ “โอพีซี"(OPC)มีสรรพคุณช่วยชะลอการแก่ก่อนวัย และความเสื่อม ถอยของร่างกาย โดยสารโอพีซีที่พบในข้าวเหนียวดำ เป็นสารชนิดเดียวกับสารสกัดที่ได้ จากองุ่นดำองุ่นแดง เปลือกสน

ข้าวเหนียวสามารถแปรรูปไปเป็นอาหารอื่นได้ ส่วนใหญ่จะทำเป็นขนม เช่น เทศกาลตรุษจีนก็ทำขนมเข่ง เทศกาลออกพรรษาทำข้าวต้มลูกโยน ข้าวต้มผัด ข้าวหลาม ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวเหนียวนึ่งกินกับส้มตำ เป็นต้น

สาวไทยเมื่อครั้งอดีต นำมาช่วยบำรุงผิวพรรณให้เนียนขึ้น โดยการนำข้าวสารเหนียวแช่ให้นุ่ม ผสมกับใบตำลึงอ่อน สัดส่วน 1 ต่อ 1 ตำให้ละเอียด นำมาพอกผิวหน้า ผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นเพื่อช่วยลดริ้วรอยจุดด่างดำให้จางหายไป

ทับทิม .... ผลไม้มหัศจรรย์

รูปภาพ : ทับทิม .... ผลไม้มหัศจรรย์

ได้มีการนำทับทิมมาทำเป็นยารักษาโรคตั้งแต่ 8,000 ปีมาแล้วในตำราแพทย์โบราณของเปอร์เซีย (ซึ่งถือกันว่าเป็นต้นตำรับของวิชาแพทย์ตะวันตกในปัจจุบัน) ซึ่งในผลทับทิมมีวิตามินมากมายหลายชนิด รวมทั้งแมกนีเซียมและเคเลี่ยม มีผลดีอย่างมากในระบบฟอกโลหิต และระบบการหมุนเวียนในร่างกาย ทั้งนี้ ในผลทับทิมยังมีสารที่มีลักษณะใกล้เคียงกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในสตรี ซึ่งสารนี้จะช่วยปรับฮอร์โมนในวัยหมดประจำเดือน บำรุงผิวพรรณให้สดใส ลดระดับโคเลสเตอรอลและไขมันในเส้นเลือด และในทับทิมยังมีกรดอะมิโน 2 ชนิด คือ กรดกลูตามิน และกรดแอสบารากิน ซึ่งจะช่วยเพิ่มนอร์อะดรีนาลิน ทำให้สมองกระฉับกระเฉงขึ้น ทั้งยังช่วยแก้กระหาย แก้ร้อนใน กรดเอแร็คมีประโยชน์ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ค่ะ


ทับทิม .... ผลไม้มหัศจรรย์

ได้มีการนำทับทิมมาทำเป็นยารักษาโรคตั้งแต่ 8,000 ปีมาแล้วในตำราแพทย์โบราณของเปอร์เซีย (ซึ่งถือกันว่าเป็นต้นตำรับของวิชาแพทย์ตะวันตกในปัจจุบัน) ซึ่งในผลทับทิมมีวิตามินมากมายหลายชนิด รวมทั้งแมกนีเซียมและเคเลี่ยม มีผลดีอย่างมากในระบบฟอกโลหิต และระบบการหมุนเวียนในร่างกาย ทั้งนี้ ในผลทับทิมยังมีสารที่มีลักษณะใกล้เคียงกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในสตรี ซึ่งสารนี้จะช่วยปรับฮอร์โมนในวัยหมดประจำเดือน บำรุงผิวพรรณให้สดใส ลดระดับโคเลสเตอรอลและไขมันในเส้นเลือด และในทับทิมยังมีกรดอะมิโน 2 ชนิด คือ กรดกลูตามิน และกรดแอสบารากิน ซึ่งจะช่วยเพิ่มนอร์อะดรีนาลิน ทำให้สมองกระฉับกระเฉงขึ้น ทั้งยังช่วยแก้กระหาย แก้ร้อนใน กรดเอแร็คมีประโยชน์ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ค่ะ

แก้วมังกร...ผลไม้บำรุงเลือด


แก้วมังกร

แก้วมังกร  อุดมด้วยโปรตีนจึงช่วยเติมร่องรอยผิวให้ดูเรียบตึง 
ผลการวิจัยพบว่า แก้วมังกรเนื้อแดงดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต และมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือด  นอกจากนี้ไฟเบอร์ในผลแก้วมังกรยังช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงบริเวณช่องคลอด บรรเทาอาการตกขาวที่ผิดปกติ (มีสีเหลืองปนหนอง ปนเลือดและมีกลิ่นเหม็น)

วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การสกัดน้ำมันมะพร้าว


วีธีการต่าง ๆ ในการผลิตน้ำมันมะพร้าว

น้ำมันมะพร้าว อาจแบ่งได้เป็น 2 ชนิด

น้ำมันมะพร้าวทั่วไป (RBD Coconut Oil) ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป เช่นใช้ในการทอดอาหาร หรือการผลิตอาหารต่างๆ เป็นน้ำมันมะพร้าวที่ผลิตจากเนื้อมะพร้าวแห้ง (Copra) น้ำมันที่สกัดได้จะต้องผ่านขบวนการทำให้บริสุทธิ์ (Refined) การฟอกสี (Bleached) และกำจัดกลิ่น (Deodorized) ก่อนที่จะนำไปบริโภค น้ำมันชนิดนี้บางครั้งจะถูกกล่าวถึงว่าเป็น “น้ำมันธรรมชาติ” (Natural Coconut Oil) แต่ความเป็นจริงเป็นน้ำมันชนิด RBD Refined,Bleached,Deodorized) น้ำมันชนิดนี้จะมีความหนืดและมีสีเหลืองอ่อน

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Virgin Coconut Oil) รู้จักกันในชื่อ “น้ำมันมะพร้าวเวอร์จิ้น” (Virgin Coconut Oil) หรือน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ซึ่งมีขบาวนการผลิตที่พิถีพิถันมาก ที่เรียกว่า Cold Process หรื Cold Pressed เพราะไม่มีการใช้ความร้อนเลย ทำให้ได้น้ำมันที่มีคุณภาพพิเศษ ที่มีกลิ่นหอม รสชาติดี อุดมด้วยวิตามิน E และสาร Antioxidants และได้รับการกล่าวขวัญว่ามีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ

4 วิธี การสกัดน้ำมันมะพร้าว
Refined Coconut Oil
Hydrogenated Coconut Oil
Fractionated Coconut Oil
Virgin Coconut Oil
Fermentation
Heating

1. Refined Coconut Oil

นำ Copra มะพร้าวตากแห้ง (จากการ รมควัน เข้าเตาเผา หรือ ตากแดด) มาบีบเพื่อให้ได้น้ำมันมะพร้าวดิบ ผ่านขบวนการกำจัดสิ่งเจือปนละกำจัดกลิ่นด้วยขบวนการ RBD or refining, bleaching, and deodorizing ได้น้ำมันมะพร้าวที่ ไร้รส ไร้สี และไร้กลิ่น ใช้ในการทำอาหารและอบขนม เพราะมีรสชาติเป็นกลาง ไม่ส่งผลต่ออาหาร และมีจุดเดือดสูงสามารถทนความร้อนได้โดยไม่เกิดการไหม้

2. Virgin Coconut Oil Fermentation

นำเนื้อมะพร้าวขูดใส่ถุงเพื่อคั้นน้ำกะทิแล้วผสมกับน้ำมะพร้าว ตั้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง 20 ชั่วโมง เพื่อให้เกิดการแยกชั้นของ โปรตีน น้ำมันมะพร้าว และน้ำ แยกน้ำมันมะพร้าวเพื่อกรองและบรรจุขวด

3. Virgin Coconut Oil Heating

นำเนื้อมะพร้าวขูดใส่ถุงเพื่อคั้นน้ำกะทิ น้ำกะทิจะถูกทำให้ร้อนจนน้ำระเหยออกไปหมด แยกน้ำมันมะพร้าวเพื่อกรองและบรรจุขวด

4. Hydrogenated Coconut Oil

เป็นขบวนการเคมีที่ใช้ความดันสูงเพื่อให้แก๊สไนโตรเจนเข้าไปในน้ำมันมะพร้าว เพื่อยืดอายุน้ำมันและไม่ให้เกิดการเหม็นหืน ขบวนการนี้จะเปลี่ยนกรดไขมันที่ดีไปเป็นกรดมัน Trans fatty acid ซึ่งทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม และอุดตันของเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ

5. Fractionated Coconut Oil

เป็นน้ำมันมะพร้าวที่เถียรและอายุการใช้งานนานที่สุด เหมาะสำหรับทำอาหาร และส่วนผสมของสบู่ ครีมล้างหน้า โลชั่น แชมพู และส่วนผสมของครีมนวดผม

คุณภาพของน้ำมันมะพร้าว มีความใส แบบโปร่งใส
กลิ่นหอมแบบน้ำมันมะพร้าว
ไม่มีกลิ่นหืน หรือเปรี้ยว
เบา และมีความหนืดน้อย
ซึมเข้าสู่ผิวได้เร็ว
เป็นไขที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส

ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าว
ช่วยควบคุมน้ำหนัก
ช่วยสมานผิวจากการเกิดท้องลาย
ทำความสะอาดผิวหน้า
บำรุงผิวแทนเบบี้ออย
หมักผมครึ่งชั่วโมง สัปดาห์ละครั้ง
นวดน้ำมัน

สมุนไพรแก้หูอื้อ กระเทียม ภูมิปัญญาไทย แก้หูอื้อ ได้จริง!!


สมุนไพรแก้หูอื้อ กระเทียม ภูมิปัญญาไทย แก้หูอื้อ ได้จริง!!

นอกจากกระเทียมสดช่วยลดคอเรสเตอรอลในเส้นเลือดและโรคอื่นๆได้แล้ว ยังช่วยแก้หูอื้อได้อย่างดีอีกด้วย

กระเทียมเป็นพืชล้มลุกที่มีหัวอยู่ใต้ดิน แต่ละหัวประกอบด้วยกลีบเรียงซ้อนกันประมาณ 4-15 กลีบ บางพันธุ์จะมีเพียงกลีบเดียว เรียกว่า “กระเทียมโทน” แต่ ละกลีบมีกาบเป็นเยื่อบางๆสีขาวอมชมพูหุ้มอยู่โดยรอบ กระเทียมมีรากไม่ยาวนัก ใบมีลักษณะยาวแบน ปลายใบแหลมแคบ โคนมีใบหุ้มซ้อนกัน ดอกออกเป็นช่อ มีสีขาวติดเป็นกระจุกที่ปลายก้านช่อ กระเทียมมีกลิ่นหอมฉุน รสชาติเผ็ดร้อน

สารสำคัญที่ทำให้กระเทียมมีกลิ่นหอมฉุนเผ็ดร้อนคือเอนไซม์อัลลิเนส (Allinase) ที่เปลี่ยนสารอินทรีย์กำมะถันอัลลิอิน (Alliin) ให้เป็นน้ำมันหอมระเหยอัลลิซิน (Allicin) และเมื่อนำหัวกระเทียมสดมากลั่นด้วยไอน้ำจะได้น้ำมันกระเทียม (Garlic oil) นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารอาหาร น้ำ กรดไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต น้ำตาล กรดอะมิโน เหล็ก แคลเซียม วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินซี ฯลฯ

สรรพคุณ ของกระเทียมมีมากมาย การทานกระเทียมทั้งสดหรือแห้งเป็นประจำสามารถป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันและ กล้ามเนื้อหัวใจหยุดทำงานเฉียบพลัน ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ความดันโลหิตสูง และปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด รักษาโรคที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลำไส้ นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันโรคหวัด วัณโรค คอตีบ ปอดบวม ไทฟอยล์ มาลาเรีย คออักเสบและอหิวาตกโรคได้อีกด้วย วิธีการใช้กระเทียมเพื่อรักษาโรคต่างๆ คือ

- ใช้ขับเหงือ ขับปัสสาวะ และขับเสมหะ นำกระเทียมสดครึ่งกิโลกรัม ทุบพอแตก แช่ในน้ำหวานหรือน้ำผึ้ง 1 ถ้วย ประมาณ 1 สัปดาห์ รับประทานครั้งละครึ่งช้อนโต๊ะ วันละ 3 ครั้ง

- ใช้ขับลมในกระเพาะอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ โดยนำกระเทียมสด 5-7 กลีบ บดให้ละเอียด ผสมกับน้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำตาลและเกลือเล็กน้อย กรองเอาแต่น้ำ ดื่มวันละ 3 ครั้ง หลังรับประทานอาหาร

- ใช้รักษาแผลสด แผลเป็นหนอง โดยใช้กระเทียมสดปอกเปลือก นำมาทุบหรือฝานทาในบริเวณที่เป็นแผล

- ใช้รักษาโรคผิวหนังที่เกี่ยวกับเชื้อรา เช่น กลาก เกลื้อน น้ำกัดเท้า เชื้อราในช่องคลอด โดยใช้น้ำที่คั้นจากกระเทียมสดทาบริเวณที่เป็นเชื้อรา

- ใช้รักษาอาการปวดหู หูอื้อ หูตึง โดยใช้น้ำกระเทียมหยอดหูประมาณ 1 - 2 หยด วันละ 3 - 4 ครั้ง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.thaihealth.or.th

มาดื่มกาแฟให้มีประโยชน์กันค่ะ



มาดื่มกาแฟให้มีประโยชน์กันค่ะ


7 วิธี ดื่ม กาแฟ ให้มีประโยชน์

หลายๆ คนชอบดื่ม กาแฟ มีวิธีการดื่มกาแฟอย่างไรให้เกิดประโยชน์มากที่สุด และเกิดผลเสียน้อยที่สุด มาฝากกันค่ะ

1. ควรสังเกตว่าตัวคุณเอง มีความไวของการตอบสนองต่อปริมาณกาแฟกี่ถ้วย มีอาการอย่างไรบ้าง เพื่อหาปริมาณที่เหมาะสมสำหรับตนเอง

2. หากมีอาการนอนหลับยาก ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟในช่วงบ่ายหรือช่วงหัวค่ำ

3. ไม่ควรดื่ม กาแฟ ขณะท้องว่าง เนื่องจากกาเฟอีนเร่งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร

4. ไม่ควรดื่มกาแฟเพื่อหักโหมทำงาน และอดนอนติดต่อกันหลายๆ คืน แม้ว่ากาเฟอีนช่วยให้ร่างกายตื่นตัวจริง แต่สมองต้องการเวลาพักผ่อนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรับรู้

5. หากคุณเป็นผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ ควรกินอาหารที่เป็นแหล่งของแคลเซียมเพิ่มเติม เช่น นม โยเกิร์ต ปลาเล็กปลาน้อย คะน้า บรอกโคลี เป็นต้น เพื่อทดแทน แคลเซียมที่สูญเสียไปกับปัสสาวะ และลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน หรืออาจปรับเปลี่ยนโดยการชงกาแฟ ใส่นมแทนครีมเทียม เป็นต้น

6. ควรกินผักผลไม้อย่างเพียงพอทุกวัน เนื่องจากในกระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟ จะมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้น วิตามินซี อี และบีตาแคโรทีนในผักผลไม้ เช่น มะเขือเทศ แครอต ผักใบเขียว ฝรั่ง ส้มเขียวหวาน เป็นต้น จะช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกายได้

7. ดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากฤทธิ์ในการขับปัสสาวะของกาเฟอีน

ข้อมูลจาก : doctor.or.th และ women.mthai.com

ขอบคุณ : ฟาร์มีดี (ฟาร์มไส้เดือนของคนพิการ)

เพาะถั่วงอกทานเองกันดีกว่าค่ะ... ปลอดภัย...และดีต่อสุขภาพค่ะ

รูปภาพ : ถั่วงอก...ต้านสารพัดโรค ให้ประโยชน์เต็มๆ ใครที่ไม่อยากแก่เชิญฟังทางนี้เด้อ สหาย...
คุณๆ ทราบกันหรือไม่ว่าถั่วงอกดิบที่เรารู้จักและรับประทานกันอยู่ทุกวันนี้บ้างกินกับก๋วยเตี๋ยว บ้างกินกับขนมจีนนั้นมีสารอาหารตัวหนึ่งที่ ช่วยชะลอความแก่ได้ดีทีเดียว (ถึงแม้ว่าจะมีกลิ่นเหม็นเขียวนิดๆ ก็ตาม) นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณต่างๆ อีกมากมาย เชื่อว่าหากทราบแล้วหลายคนต้องหันมารับประทานถั่วงอกกันมากขึ้นแน่ๆ "ถั่วงอกช่วยชะลอความแก่ได้จริงเพราะมี สารซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเตส (SUPEROXIDE DISMUTASE : SOD) หรือ เอสโอดี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรง สามารถช่วยชะลอความชราได้"

พญ.ลลิตา ธีระสิริ แพทย์ประจำศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวีให้ความรู้พร้อมอธิบายว่า นอกจากสารเอสโอดีจะช่วยชะลอความแก่แล้วยังช่วยป้องกันร่างกายจากโรคเสื่อมทั้งหลาย เช่น โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง เบาหวานอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคข้อ ต้อกระจกและผิวหนังเหี่ยวย่น อีกด้วยการรับประทานถั่วงอกแบบสดจะได้ผลดีกว่าแบบปรุงสุก เพราะสารเอสโอดีหากโดนความร้อนจะถูกทำลาย แต่ถ้าเราไม่ชอบรับประทานแบบดิบก็สามารถนำมาปรุงอาหารรับประทานได้เพราะนอกจากในถั่วงอกจะมีสารเอสโอดี แล้วยังมีสารอาหารตัวอื่นที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย เช่น ในถั่วงอกมีคาร์โบไฮเดรต ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก มีโปรตีนสูงมากกว่าในเนื้อสัตว์ แถมในเนื้อสัตว์ก็มีไขมันเยอะด้วยจึงสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ เพราะถั่วงอกมีแคลอรีต่ำ มีเส้นใยพอสมควร

อย่างไรก็ตาม คุณหมอลลิตาแนะนำว่าถ้าเราปลูกถั่วงอกรับประทานเองจะเหม็นเขียวน้อยกว่าในท้องตลาดและวิธีการปลูกถั่วงอกก็ปลูกได้ง่ายมากสมัยเรียนชั้นประถมคงจำกันได้ว่าเราดีใจมากเวลาปลูกถั่วงอกแล้วมันโต

วิธีการปลูกถั่วงอกง่ายๆ มีดังนี้ เริ่มจากคัดเลือกถั่วเขียวใหม่ 1 กำ นำมาปลูกถั่วงอกได้ 1 จาน ใช้กระดาษชำระวางบนถาด จากนั้นโรยเมล็ดถั่วเขียวแล้วใช้กระดาษชำระโปะไว้อีกชั้นหนึ่งคอยรดน้ำ เพียงแค่ 3 วันถั่วงอกก็จะโตสามารถนำรับประทานแบบสดๆ ได้ให้คุณประโยชน์เต็มๆ แต่ใครที่มีปัญหาเรื่องมียูริกเกินหรือมีปัญหาเกี่ยวกับโรคไตต้องระมัดระวังอย่ารับประทานมากเกินไปเพราะจะมีผลเสียต่อร่างกายได้ ฉะนั้นใครที่ไม่อยากแก่ก่อนวัยหมั่นรับประทานถั่วงอกบ่อยๆ นอกจากจะทำให้หนุ่มสาวขึ้นแล้วยังส่งผลดีต่อสุขภาพด้วยนะเออ

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส

เพาะถั่วงอกทานเองกันดีกว่าค่ะ... ปลอดภัย...และดีต่อสุขภาพค่ะ
ถั่วงอก...ต้านสารพัดโรค ให้ประโยชน์เต็มๆ ใครที่ไม่อยากแก่เชิญฟังทางนี้เด้อ สหาย...
คุณๆ ทราบกันหรือไม่ว่าถั่วงอกดิบที่เรารู้จักและรับประทานกันอยู่ทุกวันนี้บ้างกินกับก๋วยเตี๋ยว บ้างกินกับขนมจีนนั้นมีสารอาหารตัวหนึ่งที่ ช่วยชะลอความแก่ได้ดีทีเดียว (ถึงแม้ว่าจะมีกลิ่นเหม็นเขียวนิดๆ ก็ตาม) นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณต่างๆ อีกมากมาย เชื่อว่าหากทราบแล้วหลายคนต้องหันมารับประทานถั่วงอกกันมากขึ้นแน่ๆ "ถั่วงอกช่วยชะลอความแก่ได้จริงเพราะมี สารซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเตส (SUPEROXIDE DISMUTASE : SOD) หรือ เอสโอดี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรง สามารถช่วยชะลอความชราได้"

พญ.ลลิตา ธีระสิริ แพทย์ประจำศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวีให้ความรู้พร้อมอธิบายว่า นอกจากสารเอสโอดีจะช่วยชะลอความแก่แล้วยังช่วยป้องกันร่างกายจากโรคเสื่อมทั้งหลาย เช่น โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง เบาหวานอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคข้อ ต้อกระจกและผิวหนังเหี่ยวย่น อีกด้วยการรับประทานถั่วงอกแบบสดจะได้ผลดีกว่าแบบปรุงสุก เพราะสารเอสโอดีหากโดนความร้อนจะถูกทำลาย แต่ถ้าเราไม่ชอบรับประทานแบบดิบก็สามารถนำมาปรุงอาหารรับประทานได้เพราะนอกจากในถั่วงอกจะมีสารเอสโอดี แล้วยังมีสารอาหารตัวอื่นที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย เช่น ในถั่วงอกมีคาร์โบไฮเดรต ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก มีโปรตีนสูงมากกว่าในเนื้อสัตว์ แถมในเนื้อสัตว์ก็มีไขมันเยอะด้วยจึงสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ เพราะถั่วงอกมีแคลอรีต่ำ มีเส้นใยพอสมควร

อย่างไรก็ตาม คุณหมอลลิตาแนะนำว่าถ้าเราปลูกถั่วงอกรับประทานเองจะเหม็นเขียวน้อยกว่าในท้องตลาดและวิธีการปลูกถั่วงอกก็ปลูกได้ง่ายมากสมัยเรียนชั้นประถมคงจำกันได้ว่าเราดีใจมากเวลาปลูกถั่วงอกแล้วมันโต

วิธีการปลูกถั่วงอกง่ายๆ มีดังนี้ เริ่มจากคัดเลือกถั่วเขียวใหม่ 1 กำ นำมาปลูกถั่วงอกได้ 1 จาน ใช้กระดาษชำระวางบนถาด จากนั้นโรยเมล็ดถั่วเขียวแล้วใช้กระดาษชำระโปะไว้อีกชั้นหนึ่งคอยรดน้ำ เพียงแค่ 3 วันถั่วงอกก็จะโตสามารถนำรับประทานแบบสดๆ ได้ให้คุณประโยชน์เต็มๆ แต่ใครที่มีปัญหาเรื่องมียูริกเกินหรือมีปัญหาเกี่ยวกับโรคไตต้องระมัดระวังอย่ารับประทานมากเกินไปเพราะจะมีผลเสียต่อร่างกายได้ ฉะนั้นใครที่ไม่อยากแก่ก่อนวัยหมั่นรับประทานถั่วงอกบ่อยๆ นอกจากจะทำให้หนุ่มสาวขึ้นแล้วยังส่งผลดีต่อสุขภาพด้วยนะเออ

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

สลัดเย็นเกล็ดมังกร / เมนูเจ (สำหรับ 2 ท่าน)



สลัดเย็นเกล็ดมังกร / เมนูเจ (สำหรับ 2 ท่าน)
พลังงานที่ได้รับต่อ 1 ท่าน ประมาณ 171 แคลอรี่

วัตถุดิบ และเครื่องปรุง

แอปเปิ้ลฟูจิ (หั่นชิ้น) 1 ผล (200 กรัม)
ผักสลัดฟิลเลย์ ไอซ์เบิร์ก (หั่นชิ้น) 1/2 ถ้วยตวง (20 กรัม)
กีวี่ (หั่นชิ้น) 1 ผล (100 กรัม)
ธัญญาหาร อบกรอบ (ซีเรียล) 2 ช้อนโต๊ะ (10 กรัม)
แครอท (ซอย) 1 ช้อนโต๊ะ (20 กรัม)
น้ำสลัดฟักทอง 2 ช้อนโต๊ะ
ผักสลัดเรดโครอล (หั่นชิ้น) 1/2 ถ้วยตวง (20 กรัม)

วิธีทำ
1. นำแอปเปิ้ล กีวี่ และผักสลัด ที่หั่นเป็นชิ้นพอคำ มาจัดเรียงใส่จาน
2. โรยหน้าด้วยแครอท แล้วราดน้ำสลัดฟักทองลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน
3. โรยซีเรียลเพิ่มความกรอบ พร้อมรับประทาน

คุณประโยชน์
เมนูนี้ เป็นเมนูสลัดผลไม้ เจ เมนูที่อุดมไปด้วยวิตามินต่างๆ จากผัก และผลไม้สด โดยเฉพาะวิตามินซี หลายท่านอาจกำลังสงสัยว่า วิตามินซี จะบำรุงกระดูกได้อย่างไร? ด้วยคุณค่าทางโภชนาการของวิตามินซี แม้ว่าจะไม่มีประโยชน์ในการบำรุงกระดูกโดยตรงเหมือนกับแคลเซียม ในการดูแลกระดูก วิตามินซีมีบทบาทสำคัญ ที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบมากบริเวณปลายกระดูก และข้อต่อ หากว่าบริเวณดังกล่าวมีคอลลาเจนอยู่มาก ก็จะช่วยลดการเสียดสีกันของข้อต่อกระดูก และลดอาการปวดข้อได้ ดังนั้น วิตามินซี จึงช่วยดูแลกระดูกของคุณได้อีกทางเช่นกัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.goldenplace.co.th/healthyfood_13.php, นานาสาระเพื่อสุขภาพที่ดี

วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ยำตะไคร้ใบชะพลู

ยำตะไคร้ใบชะพลู

CookLek_25500405


การดูแลเอาใจใส่เรื่องการรักษาสุขภาพร่างกาย นอกจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอแล้ว การเลือกกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ ก็เป็นส่วนช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับร่างกายได้เช่นกัน

ในมื้อนี้ “กุ๊กเล็ก” เลยขอเอาใจผู้ที่รักสุขภาพด้วยการนำเสนอเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ ที่มีชื่อว่า “ยำตะไคร้ใบชะพลู” ที่เราไปได้สูตรมาจากร้าน “อู่ข้าว อู่ปลา”เมนูนี้มีส่วนประกอบของพืชผักสมุนไพรที่เด่นๆ คือตะไคร้ ที่มีสรรพคุณทางยา ช่วยขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยให้เจริญอาหาร ส่วนใบชะพลูนั้นมีวิตามิน เกลือแร่ต่าง ๆ มีแคลเซียม และ เบต้าแคโรทีนด้วย เห็นประโยชน์มากมายอย่างนี้แล้วจะช้าอยู่ใย รีบเดินเข้าครัวกันดีกว่า

ส่วนผสมสำหรับ “ยำตะไคร้ใบชะพลู”มีดังนี้

ตะไคร้สดซอยละเอียด 7 ต้น
พริกขี้หนูซอย 8 เม็ด (หรือมากกว่านี้ตามความชอบใจ)
หัวหอมแดงซอย 2 หัว
ถั่วลิสงทอด ปลาหมึกแห้งทอด กุ้งแห้งทอด (สำหรับโรยหน้า)
ใบชะพลู 10 ใบ
น้ำตาลทราย และน้ำมะนาว (ปริมาณตามความชอบใจ)

เมื่อเตรียมส่วนผสมกันครบหมดแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนลงมือทำยำตะไคร้ใบชะพลูที่ไม่ยุ่งยากอะไรเลย เพียงแค่นำตะไคร้ซอยละเอียด หอมแดงซอย และพริกขี้หนูซอย มาคลุกเคล้ารวมกัน แล้วก็ปรุงรสด้วยน้ำตาล น้ำมะนาว แล้วก็คลุกเคล้าให้เข้ากันอีกที ชิมรสชาติให้ถูกปาก แต่ให้ออกเปรี้ยวนำสักเล็กน้อย

พร้อมตักใส่จานที่รองไว้ด้วยใบชะพลู แล้วก็นำปลาหมึกแห้งทอด กุ้งแห้งทอด และถั่วลิสงทอด มาโรยหน้าอีกที เป็นอันว่าเสร็จสรรพเรียบร้อยได้กินยำตะไคร้หอมๆ แกล้มกับใบชะพลู เคี้ยวกร้วมทั้งคำรสชาติมันปาก แถมยังดีต่อสุขภาพ เพราะว่าได้กินสมุนไพรหลายอย่างที่มีคุณค่าต่อร่างกาย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์5 เมษายน 2550 17:05 น.
โดย : กุ๊กเล็ก

วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

วิธีลดน้ำหนักแบบธรรมชาติ

วิธีลดน้ำหนักแบบธรรมชาติ

      เวลาจะลดน้ำหนัก ลดความอ้วน แล้วหาสูตรที่ตรงใจไม่ได้สักทีเนี่ย มันหงุดหงิดจริงๆ มาดูวิธีลดน้ำหนัก ตามธรรมชาติ ที่ไม่ได้ทำยากเย็น รับรองว่าถ้าทำได้ น้ำหนักคุณจะลดลง หุ่นสวยได้แบบไม่ต้องอดอาหารจนโทรม

     1. ไม่กินข้าวมื้อเย็น
      ไม่ใช่ว่าเราจะให้อดมื้อเย็นไปซะทีเดียวนะคะ เพราะคุณสามารถทานอาหารพวกผักและผลไม้ได้ หลีกเลี่ยงอาหารพวกแป้ง อาหารทอด ควรทานพวกผลไม้ สลัดผักน้ำใส อาหารที่ย่อยง่ายมากกว่า จะช่วยให้นอนหลับสบายด้วย

    2. งดเนื้อสัตว์ ไขมัน ข้าว
      ภายใน 1 สัปดาห์ เราควรเลือกสัก 1 วัน ในการงดกินพวกเนื้อสัตว์ ไขมัน ข้าว แล้วเปลี่ยนมากินพวกผลไม้หรือธัญพืชอย่างเดียวทั้งวัน เช่น มะละกอสุก กล้วย แอปเปิ้ล หรือถั่วต่างๆและไม่ควรกินผลไม้ที่่ให้พลังงานสูงอย่าง ทุเรียน หรือผลไม้ที่มีรสหวานจัดเกินไป

    3. เคี้ยวอาหารช้าๆ
      การทานอาหารทุกมื้อแล้วเคี้ยวช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียดจะช่วยให้เราอิ่มเร็วและทานได้น้อยลง ที่สำคัญคือ ควรจำไว้ว่าไม่ควรทานอาหารหลัง 6 โมงเย็นหรือช่วงดึกเป็นอันขาด เพราะกินตอนมืดๆ ค่ำๆ นี่แหละตัวการทำให้อ้วนแล้ว

    4. ดื่มน้ำผลไม้ก่อนอาหาร
      ก่อนจะทานอาหารควรดื่มน้ำผลไม้หรือจะทานผลไม้สดๆ เลยก็ได้ ซึ่งการปฏิบัติแบบนี้จะช่วยให้เราอิ่มเร็วขึ้น ไม่กินเยอะเกินความจำเป็น และวิตามินในผลไม้ยังช่วยดูดซึมอาหารที่เราทานเข้าไปอีกด้วย

    5. ออกกำลังกาย 
      ข้อนี้ขาดไม่ได้เลย เพราะทานอาหารแล้วก็ต้องออกแรงให้ร่างกายเคลื่อนไหว เสียเหงื่อกันสักหน่อย ช่วยเผาผลาญไขมัน สุขภาพแข็งแรง และเป็นข้อสำคัญที่ช่วยให้คนลดน้ำหนัก หุ่นสวยได้อย่างใจ

       วิธีลดน้ำหนัก นี้ทำได้ง่ายๆ เลยใช่ไหมคะ บางข้อเราก็รู้อยู่แล้ว แต่ถ้ารู้แล้วไม่ทำตามสักทีเมื่อไหร่ถึงจะมีหุ่นเริ่ดๆ เชิดๆ เหมือนคนอื่นเขาล่ะคะ รีบลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองซะตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า...


ที่มา...Spicy

ดีท็อกซ์สูตรเกลือทะเล สำหรับคนท้องผูก



ดีท็อกซ์สูตรเกลือทะเล สำหรับคนท้องผูก

เกลือทะเลแท้ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 2-3 ลูก น้ำเปล่าอุ่นๆ 600 -700 มล. ละลายเกลือในน้ำอุ่นก่อนค่อยบีบมะนาวลงไปนะคะ ดื่มให้หมดใน 15 นาที เเล้วดื่มน้ำเปล่า ตามเยอะๆๆคะ

ทำช่วงเวลา 4.00-7.00 เท่านั้น เพราะเป็นเวลาของลำไส้ใหญ่ ทำให้ได้ผลที่สุดค่ะ

** สำหรับคนที่ชอบทานปิ้งย่าง หรือจัดหนักอาการไขมันสูงมา ทำสูตรนี้หลังวันจัดหนักเลยจร้าาาา.... ไม่จำเป็นต้องทำทุกวันนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจากGood Look Good Health

มะนาวประโยชน์มากมาย





มะนาวประโยชน์มากมาย

*ประโยชน์ของมะนาว มะนาวเป็นผลไม้พื้นๆที่ใช้บริโภคกันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่ามะนาวลูกเล็กๆนั้น มีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆได้มากมายหลายโรคด้วยกัน ไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้นที่ใช้มะนาวรักษาโรค ประเทศเพื่อนบ้านของเรา เช่น มาเลเซีย จีน และอินเดีย เขาก็ใช้มะนาวกัน ประเทศเพื่อนบ้านที่ไกลออกไป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศแถบอเมริกาตะวันตกก็ใช้มะนาวแก้ไอและรักษาโรคอื่นๆเช่นเดียวกัน*

#ประโยชน์ของมะนาวในแง่การนำมาใช้เป็นสมุนไพร #มีดังนี้

1. แก้ไอออกเลือด (ไอมีเลือดปน) - ใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา มะนาว 4 ลูก เกลือ 1 ช้อน หรือประมาณ 3-4 เม็ด ผสมให้เข้ากันดี ให้มีรสเปรี้ยวเค็มหวาน ใช้จิบทุกครั้งที่ไอ -ใช้มะนาว 108 ใบ เบี้ยจั๊กจั่น 11 ตัว ปูนขาวหนักประมาณ 4 บาท วิธีทำ คั้นน้ำมะนาว ใส่เบี้ยจั๊กจั่นและปูนขาวปนกัน ดองประมาณ 3 คืน รับประทานครั้งละจอกชา แก้ไอออกเลือดดี

2. ต่อมทอนซิลอักเสบ เอาน้ำมะนาว น้ำผึ้งและปูนขาวผสมดื่ม แก้ทอนซิลอักเสบ

3.แก้ซาง,ตุ่มในคอเด็ก,เสมหะ - เมล็ดมะนาวขับเสมหะแก้โรคซางของเด็ก แก้เม็ดยอดในปากโดยเอาเม็ดมะนาวเผาไฟ บดให้ละเอียด ใช้น้ำมะนาวหรือรากของมะนาวฝนกันน้ำเป็นกระสาย ผสมเข้าด้วยกัน แล้วกวาดซางเด็ก - ให้เอาน้ำมะนาว 1 ช้อนชา แล้วเอารากมะนาวฝนให้ข้นดี แล้วจึงเอาไปล้วงคอเด็กสัก 2-3 ครั้งก็หาย - ใช้เม็ดมะนาวเคี้ยวกิน ขับเสมหะ ใช้ติดต่อกัน 7 วัน ได้ผลดี

4. แก้เสียงแหบแห้ง - มะนาวทำให้เสียงไม่แหบแห้ง ตื่นตอนตอนเช้าทุกครั้งให้ผ่ามะนาวครึ่งหนึ่ง จิ้มเกลือบีบน้ำลงคอกลืนกิน ทำทุกเช้าทุกวัน ทำให้เสียงไม่แหบแห้ง

5. ก้างติดคอ - เมื่อก้างปลาติดคอ เอามะนาว 1 ลูกคั้น เอาแต่น้ำ เติมเกลือ น้ำตาลนิดหน่อยกรอกลงไปให้ตรงก้างที่ติดคอ อมไว้สักครู่ แล้วจึงค่อยกลืน ก้างจะอ่อนตัวหลุดลงไปในกระเพาะ - ก้างปลาติดคอซึ่งเป็นชิ้นเล็กๆ เมื่อกลืนน้ำลายจะทำให้รำคาญเท่านั้น ให้ผ่ามะนาวแล้วนำมาอมไว้ในปาก อมจนรู้สึกรสเปรี้ยวของมะนาวเจือจางสัก 2-3 หน จะทำให้ก้างหลุดออกไปได้

6. แก้ไข้ - นำใบมะนาวมาหั่นฝอยๆ ชงด้วยน้ำเดือด ดื่มแบบน้ำชาจะช่วยลดไข้และใช้อมกลั้วคอฆ่าเชื้อโรคได้อีกด้วย - ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตกนิยมใช้เปลือกรากมะนาวต้มเป็นยาแก้ไข้อย่างดี และใช้ใบทำเป็นยาชงกินแก้ไข้ที่มีอาการตัวเหลืองเล็กน้อย นอกจากนี้ยังใช้น้ำมะนาวดื่มแก้กระหายน้ำ แก้ไข้อีกด้วย - ที่ประเทศอินเดีย ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่ นิยมรักษาโดยดื่มน้ำมะนาวแล้วพักผ่อน ถ้าเป็นไข้หวัดธรรมดา จะรับประทานผลอินทผลัมและดื่มน้ำมะนาวรักษา

7. แก้ไข้ทับระดู เอาใบมะนาว 100 ใบ มาต้มกินแล้วหาย

8. แก้ปวดศีรษะ - เอามะนาวมาฝานเป็นซีกบางๆ แล้วเอาปูนที่กินกับหมาก ละเลงด้านหน้าของซีกมะนาวนั้นบางๆ แล้วปิดตรงขมับ ทำอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการปวดก็ค่อยหายดีขึ้นทุกวัน - ใช้น้ำมะนาวผสมกับน้ำตาลสัก 1 แก้ว ดื่มตอนเช้า ช่วยให้หายจากโรควิงเวียนและปวดหัว - ชาวมาเลเซีย ใช้ใบมะนาวผสมกับน้ำมะนาว บดทำเป็นยาใส่ผมแก้ปวดศีรษะ - ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตก ใช้ใบมะนาวตำให้ละเอียดถูศีรษะหรือเคี้ยวรากมะนาวแก้ปวดศีรษะ

9. แก้เลือดออกตามไรฟัน - เกิดจากการขาดวิตามินซี ทำให้เหงือกบวมและมีเลือดออกตามไรฟันเป็นประจำ หรือมีเลือดออกได้ง่าย เช่น มีเลือดกำเดาไหล มีจุดพรายย้ำขึ้นตามผิวหนัง อาจมีเลือดออกจนซีดได้ ถ้าอาการรุนแรง จะมีอาการปวดน่อง ข้อเท้าบวม การรักษาให้กินมะนาวหรือผลไม้เปรี้ยวๆ เช่น ส้ม จะแก้ได้ - แก้โรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟัน ใช้มะนาวถูฟันสักพักเลือดก็จะหยุด

10. แก้เหงือกบวม ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่เหงือกวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น

11. แก้ลิ้นเป็นฝ้า ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่ลิ้นวันละ 3ครั้ง

12. ขจัดคราบบุหรี่ ใช้มะนาวถูฟันที่มีคราบบุหรี่จับ เมื่อใช้มะนาวถู คราบนั้นจะหาย ถ้าฟันผู้ที่รับประทานหมากต้องถูกบ่อยๆ ถ้าจับมากหลายวันแล้วต้องถอดฟันแช่น้ำมะนาวไว้ค้างคืน (หมายถึงผู้ใส่ฟันปลอมนะ) ฟันจะขาวสะอาดเงางาม

13. ยาบ้วนปาก บีบน้ำมะนาวลงในแก้วสัก 2-3 หยดเท่านั้น บ้วนปากได้สะอาดยอดเยี่ยม

14. แก้เป็นลมวิงเวียน อยากอาเจียน - ใช้มะนาวผ่าซีก โรยเกลือป่น เหยาะน้ำตาลทรายขาวสักนิดบีบกินลงไปพักเดียวหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้จากการตั้งครรภ์ เมารถ แพ้อากาศ มะนาวช่วยคุณได้ - ใช้มะนาวจิ้มเกลืออมไว้ในปากสักครูจะรู้สึกสดชื่นจากการเป็นลมวิงเวียน หน้ามืดได้ - ใช้เปลือกมะนาวแกะออกแล้วบีบหรือดมใกล้จมูก แก้เป็นลม วิงเวียน หน้ามืดตาลาย - ด้านประเทศฟิลิปปินส์และประเทศจีน ใช้เปลือกลูกมะนาวขยี้ใก้ดมแก้คลื่นไส้หรือเป็นลม หมอพื้นเมืองชาวอินเดีย นิยมใช้น้ำมะนาวแก้อาเจียน

15. แก้วิงเวียนเมื่อคลอดบุตร - เอามะนาวปอกใส่ภาชนะ 2-3 ลูก เพื่อให้คนที่คลอดบุตรนั้นกินแก้วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย - เอามะนาว 3 ผล เกลือป่นและพริกไทยป่นพอควร ละลายด้วยน้ำร้อน แทรกเหล้าโรงประทาณให้ได้สักครึ่งถ้วยชา เวลาตกฟากรับประทาน 1 ครั้ง หรือรับประทาณต่อไปอีกก็ได้ 16. แก้เมาเหล้า เมายา - ดื่มน้ำมะนาวหรืออมกับเกลือ สำหรับคนเมาเหล้าหรือวิงเวียนจะเป็นลม

17. แก้ลมเงียบ เอาใบมะนาวมาต้มกินกับยาหอมประมาณ 1 อาทิตย์

18. แก้ตาแดง เอามะนาวผ่า แล้วเอาเมล็ดในออกให้หมด แล้วก็บีบเอาน้ำมะนาวหยอดลงในตกทั้ง 2 ข้างหลายๆหยด สัก 1-2 นาที พอหายแสบแล้วล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด เช็ดหน้าเรียบร้อยแล้วก็สบาย และใช้มะนาวต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะหายตาแดง

19. บำรุงตา ใช้มะนาวสดทั้งลูกฝานตามที่เห็นสมควร แล้วบีบใส่ตาประจำ ประมาณเดือนหรือสองเดือนครั้งก็ใช้ได้ (เนื่องจากตาเป็นอวันวะที่บอบบางมาก และน้ำมะนาวนั้นหยอดลงไปแล้วจะรู้สึกแสบตา ดังนั้น เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นจึงไม่ควรใช้น้ำมะนาวนี้หยอดตา)

20. บำรุงผิว เอาเปลือกที่บีบเอาน้ำออกแล้ว นำมาทาบริเวณข้อศอก คาง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า ช่วยให้ส่วนเหล่านั้นนุ่มนวลได้อย่างดี

21. แก้ผิวแตก ใช้มะนาวทาผิวหนังทำให้ชุ่มชื้น ไม่แตกกร้านในช่วงอากาศแห้ง

22. แก้สิวฝ้า - ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนอง การรักษาอย่างง่ายที่ถูกวิธี คือ การทำความสะอาดใบหน้า เพื่อลดไขมันและกำจัดสิ่งอุดตันตามรูขุมขนบนใบหน้า หรือบริเวณอก คอ ที่มีสิวขึ้น ฉะนั้นมะนาวจะช่วยรักษาสิงให้ลดน้อยลงได้ เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อนๆจะทำให้เนื้อเยื่อที่ตามแล้วหลุกออกไป ทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขน กรดอ่อนๆจะช่วยกำจัดเชื้อโรคและช่วยกำจัดไขมันได้บ้าง วิธีใช้ คือ ล้างหน้าด้วยสบู่ธรรมดาให้สะอาดแล้วผ่ามะนาวทาบริเวณที่มีสิวขึ้นให้เปียกชุ่มจนทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออกด้วยสบู่อีกครั้ง ทำเช่นนี้วันละ 1-2 ครั้ง เช้าและเย็น - ใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อยๆยุบหายไปในที่สุด - ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ไข่ขาว 1 ช้อนชา ผสมกันให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเอาไปแต้มที่ตุ่มสิว หรือผู้ที่ไม่มีสิว ใช้ทาบางๆทั่วไปประมาณ 30 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสบู่ หน้าจะนิ่มนวลอยู่เสมอ

23. ลบรอยแผลเป็น รอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุ ใช้น้ำมะนาวผสมดินสอพองทาบริเวณที่เป็น ทำให้หน้าไม่ดำ หรืออาจใช้ใบมะลิสดตำผสมเพิ่มเข้าไปอีกก็ได้

24. แก้ขาลาย คนที่มีขาลายเป็นจุดด่างดำเม็ดเล็กๆนั้น แก้ได้โดยเอาน้ำมะนาวบีบใส่ดินสิพองหมาดๆ แล้วทาทุกๆคืนก่อนนอน พอรุ่งเช้าก็ล้างออก ทำอย่างนี้ทุกวัน ไม่นานวันรอยด่างดำก็ลบหายไปเอง

25. แก้น้ำเหลืองเสีย ใช้ใบมะนาว 108 ใบกับเกลือหรือดีเกลือ 2 บาท หรือประมาณ 3 ช้อนคาวรวมกัน ต้มรับประทานเป็นยาระบายถ่ายน้ำเหลืองเสีย รับประทานครั้งละครึ่งถ้วยแก้วกลาง วันละ 1 ครั้งก่อนเข้านอน

26. แก้ส้นเท้าแตก เอามะนาวสดผ่าซีกแล้วบีบมะนาวให้หยดลงบนบริเวณที่เป็นแผลนั้น เพียงวันละ 2-3 ครั้ง ภายใน 7 วัน โรคส้นเท้าแตกจะหายไปเอง

27. ดับกลิ่นเต่า ใช้น้ำมะนาวทารักแร้ป้องกันกลิ่นเต่า

28. แก้โรคผิวหนัง ประเทศแถบทวีปอาฟริกาตะวันตกและประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวทาแก้โรคผิวหนัง แต่ของอินเดีย เวลาอาบน้ำ ห้ามฟอกสบู่บริเวณที่เป็น

29. แก้กลาก เกลื้อน หิด - นำกำมะถันตำให้ละเอียดบีบมะนาวใส่พอสมควร ทาบริเวณที่เป็นเกลื้อนหลังอาบน้ำและก่อนนอน เคยใช้กับญาติโยมหลายราย ผลออกมาแล้วหายเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ - ใช้มะนาวผ่าซีกแตะผงกำมะถันแล้วมาถูบริเวณที่เป็นหิด กลากเกลื้อนจะกายในเร็ววัน

30. แก้หูด เอาเปลือกมะนาวหมักกับน้ำส้มสายชู 2 วัน ตัดเปลือมะนาวมาปิดที่หูด ปิดทับด้วยพลาสเตอร์ค้างคืนไว้ รุ่งเช้าจึงเอาออก ให้ทำเช่นนี้นาน 2 อาทิตย์

31. แก้พุพอง ใช้รากมะนาวฝนกับน้ำซาวข้าว ทาแก้พุพอง แสบร้อน

32. แก้น้ำกัดเท้า ใช้มะนาวทาที่เป็นตุ่มคัน น้ำกัดเท้า ทาแล้วทิ้งให้แห้ง ล้างออกด้วยน้ำสบู่ ให้ผ้าเช็ดให้แห้ง แล้วเอาแป้งทา ตุ่มคันก็จะหาย

33. แก้ปูนซีเมนต์กัด เวลาถูกปูนซีเมนต์กัดตามมือ เท้า เอามะนาวมาตัดกลางลูก แล้วบีบน้ำมะนาวตรงที่ปูนกัดก็จะหาย

34. แก้คัน - ใช้มะนาวตัดกลางลูกรมไฟพออุ่น ถูทาตามที่คันภายใน 2-3 วัน จะหาย - เรื่องแก้คันนี้ในประเทศอินเดีย ใช้มะนาวผสมน้ำผึ้ง ทาบริเวณที่คันและเวลาอาบน้ำ อย่าฟอกสบู่บริเวณที่คัน ใช้ทาทุกครั้งเมื่อรู้สึกคัน

35. แก้หนอนคัน แถวชนบทมีตัวหนอนหลายชนิด เมื่อเราไปถูกมันเข้าจะทำให้เนื้อตรงบริเวณนั้นคันมาถึงกับเน่าเปื่อยก็มี ถ้าไปถูกตัวหนอนแล้วคันแต่ยังไม่เปื่อยเป็นแผล ให้เอามะนาวผ่าซีกถูตรงที่คันนั้น แต่ถ้าเปื่อยเป็นแผลแล้ว ให้เอาบานไม่รู้โรยมาตำกับปูนที่กินกับหมากผสมน้ำเล็กน้อย ทาตรงแผยเปื่อยรับรองหาย

36. แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย - ใช้ระงับความเจ็บปวดจากพิษแมลงได้ โดยใช้มะนาวพอกบริเวณปากแผลทิ้งไว้ 2-3 นาทีแล้วเปลี่ยนใหม่ทำดูจะหายปวด - ในประเทศจีน ใช้ผลสดคั้นเอาน้ำ ทาบริเวณที่ถูกตะขาบกัด แมลงป่องต่อยทันทีจะแก้ได้

37. แก้สังคัง ใช้มะนาวผ่าซีก ทาก่อนนอนและหลังตื่นนอน เพียงไม่กี่วันก็หาย

38. ใช้สระผม แก้คันศีรษะ - ใช้น้ำมะนาวสระผมทำให้ผมสะอาด หอม - ถ้าคันศีรษะบ่อย ใช้น้ำมะนาวนวดศีรษะให้ทั่วสักครู่ก่อนสระผมจะแก้ได้

39. แก้หัวโน ใช้แป้งดินสอพองผสมน้ำมะนาว ทาตรงที่ช้ำบวมสักพักใหญ่ๆ อาการปวดบวม ปูด ก็จะยุบ หมั่นทาวันละ 1-2 ครั้ง ภายใน 2 วันก็จะหายไปเอง

40. แก้ผิวหนังฟกช้ำ ผสมน้ำมะนาวกับดินสอพองข้นๆ ทาบริเวณที่มีอาการผิวเนื้อถูกกระแทกเขียวฟกช้ำ หรือบวมโน จะหายเป็นปกติ

41.แก้หนามปัก แก้หนามปักคา ใช้มะนาวกับน้ำมันตับปลา ใส่ที่แผลจะดูดหนามออกมาได้

42. แก้เล็บขบ เอามะนาวมาผ่าตรงส่วนหัวออกขนาดพอสอดนิ้วเข้าไปได้ ใช้มีดคว้านเอาเนื้อข้างในออกเล็กน้อย เสร็จแล้วเอาปูนทาบางๆ แล้วเอานิ้วสอดเข้าไป แล้วทิ้งไว้ ทำดังนี้ 2-3 ครั้ง อาการเล็บขบจะหายไป

43. แก้ปลาดุกยัก ใช้มะนาวผ่าซีกแล้วกดหรือถูครงรอยปลาดุกยักสักพักหนึ่ง จะหายปวดภายใน 4-5นาที

44. แก้งูกัด แก้งูกัดให้ปฏิบัติดังนี้ 1. ให้คนเจ็บนอนราบๆ เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกายช้าลง และพิษงูจะได้แผ่ซ่านช้าลงด้วย 2. ถ้าถูกงูพิษกัดที่แขนและขา ให้เอาเชือกรัดเหนือแผลหน่อย กะให้รัดอยู่ในระหว่างแผลกับหัวใจของคนเจ็บ การรัดให้รัดพอให้เลือดตรงผิวหนังนั้นหยุดไหลเพื่อกันไม่ให้พิษผ่านเข้าเส้นโลหิตดำเท่านั้น ไม่ต้องรัดแน่นมากจนหลอกเลือดที่อยู่ลึกลงไปพลอยหยุดไหลไปด้วย ถ้ารัดพอดีๆจะสังเกตเห็นน้ำเหลืองไหลซึมออกจากแผลอยู่เรื่อยๆ 3. ใช้ใบมีดโกนที่สะอาดและฆ่าเชื้อแล้ว กรีดลงบนแผลเป็นรูปกากบาท ลึกสัก 1 ใน 8 นิ้ว ยาว สัก 1 ใน 4 นิ้ว ทั้ง 2 เขี้ยว อย่าตกใจว่าจะเสียเลือด เพราะมันจะช่วยล้างพิษออกด้วย ให้ใช้ปากดูดพิษออกมาจากแผลที่กรีด พิษงูจะไม่เป็นอันตรายเมื่อเข้าไปอยุ่ในปาก นอกจากจะมีแผลในปากหรือฟันผุเท่านั้น เมื่อดูดพิษออกมาให้รีบบ้วนทิ้ง แล้ววางน้ำแข็งที่แผลสลับกับการดูดช่วยด้วย และระวังให้แขน ขาที่ถูกงูกัดให้อยู่ต่ำๆไว้ หมายเหตุ ถ้าฟันผุหรือมีแผลในปาก ใช้ขวดอุ่นให้ร้อน (ระวังแตก) เอาปากขวดทาบกับแผล เพื่อช่วยดูดเลือดออกจากแผลแทน 4. ให้กินน้ำมะนาว ขนาดผลโตๆสัก 1 ผล น้ำมะนาวจะไปทำปฏิกิริยากับพิษงูที่แล่นเข้าสู่กระเพาะอาหาร สักครูก็จะอาเจียนออกมา มีเลือดปนเล้กน้อย ซึ่งแสดงว่าพิษงูได้หมดฤทธิ์แล้ว 5.คนเจ็บจะเกิดความมั่นใจและค่อยหายกลัว ให้เขาดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มร้อนๆได้ แต่อย่าให้กินเหล้า พิษงูมันเดินเข้าหัวใจอย่างช้าๆ แต่หลังจากที่ถูกงูกัด อาจปวดมากจนถึงกับช็อค ให้คนเจ็บอยู่เงียบๆ เพราะถ้าไปทำอะไรเข้า จะเป็นการเร่งพิษเดินทางเข้าสู่หัวใจเร็วเข้าอีก ให้ใช้น้ำแข็งหรือผ้าชุบน้ำแข็งวางที่แผล จะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้ และรีบนำส่งรักษาที่โรงพยาบาล

45. ป้องกันงู เมื่อใช้มะนาวคั้นเอาน้ำหมดแล้ว เอาเปลือกวางท้องเอาไว้ใกล้ๆที่นอน จะทำให้งูไม่มารบกวน เพราะได้กลิ่นมะนาว

46. แก้แมงคาเรืองเข้าหู นำน้ำมะนาวอย่างเดียว กรองด้วยผ้า ใช้หยอดหู แก้แมงคาเรืองเข้าหู ถ้าตัวยังไม่ตายจะหนีออกมา ถ้าไม่หนีออกมาตัวจะตายในหู

47. แก้ฝี - แก้ปวดฝีใช้รากสดฝนกับเหล้าทา - ขูดเอาผิวมะนาว ผสมกับปูนแดงปิด ฝีจะหาย

48. แก้ฝีมะตอย เอามะนาวทั้งลูก มาคว้านไส้ในออกให้เอานิ้วเข้าไปได้ แล้วเอาปูน(กินหมาก)ทาเข้าไปในลูกมะนาวเล็กน้อย แล้วสวมเข้านิ้วที่มีฝีขึ้น

49. แก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ให้เอาน้ำมะนาวมาชะโลมบริเวณที่ถูกไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก มีสรรพคุณดับพิษปวดแสบแวดร้อนได้ผล

50. แก้บาดทะยัก เมื่อดถูตะปูตำ หนามเกี่ยว หรือถูกของที่มีคม เอาน้ำมะนาวบีบใส่แผลที่เป็น จะป้องกันบาดทะยักได้

51. แก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ - แก้อาการปวดท้อง แน่นท้อง เอาผลมะนาวครึ่งผล บีบเอาน้ำมะนาวใช้กินกับน้ำอ้อย หรือน้ำตาล แก้อาการนี้ได้ - เด็กท้องอืดร้องกวนในเวลากลางคืน เอาปูนเคี้ยวหมากขยี้ลงบนฝ่ามือ บีบน้ำมะนาวคลุกให้ทั่ว แล้วทาท้องด็ก สักครู่เด็กจะผายลม 2-3 ครั้ง แล้วหยุกร้องไห้ หลับสบายตลอดคืน เพราะน้ำมะนาวทำปฏิกิริยากับปูน ให้ความร้อนเกิดความอบอุ่น

52. รักษาโรคกระเพาะ เปลือกผลมะนาว ใช้ชงกับน้ำอุ่ม ดื่มเป็นยาขับลมและแก้โรคกระเพาะได้

53. แก้ท้องผูก ใช้มะนาว ประมาณค่อนแก้วกาแฟ ใส่เกลือเล็กน้อย ให้เค็มพอประมาณ ดื่มทุกวันเป็นยาระบายได้ดี ทำให้เจริญอาหาร

54. แก้ท้องร่วง ประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวกับน้ำสะอาดดื่มแก้ท้องร่วง

55. แก้อาหารเป็นพิษ น้ำมะนาว น้ำปูนใส เติมเกลือให้มีรสเค็ม กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ แก้อาหารเป็นพิษ

56. แก้ผิดสำแลง - รากมะนาว ฝนกับน้ำซาวข้าวรับประทานแก้ผิดอาหาร ถ้าได้รากมะนาวหวานยิ่งดี - เอามะนาวบีบเอาน้ำใส่ถ้วย แล้วเอาปูนกินหมากมาแช่น้ำ แล้วเอาน้ำใสๆของปูนมาผสมน้ำมะนาว แล้วรับประทานแก้กินของผิดได้เป็นอย่างดี

57. แก้บิด - ใช้มะนาวกับน้ำผึ้งเอาเท่าๆกัน กินครั้งละ 1 ถ้วยตะไล สัก 2-3 ถ้วย แก้บิดได้ หรือจะผสมน้ำปูนใส อย่างละเท่าๆกัน ก็ได้ผลเช่นกัน - ชาวมาเลเซียใช้รากมะนาวต้มกินแก้บิด

58. ขับพยาธิไส้เดือน ชาวอินเดียใช้น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งดื่มขับพยาธิไส้เดือน

59. แก้นิ่ว เอามะนาวมา บีบมะนาวแช่หินปูน หากหินปูนละลาย ก็เอารากมะนาวนั้นมาต้มกิน แล้วนิ่วก็คือหินปูนในกระเพาะปัสสาวะจะอยู่ได้อย่างไรก็ต้องละลายออกมาหมดอย่างแน่นอน หากนิ่วก้อนใหญ่ก็ต้องใช้เวลาหน่อย

60. แก้ปัสสาวะกระปริบกระปรอย ใช้ใบมะนาวสดต้มกินกับน้ำตาลแดง ประมาณ 2-3 วันก็หาย

61. แก้ระดูขาว น้ำมะนาว 2 ช้อน เกลือ น้ำตาลนิดหน่อย ผสมน้ำสุก ใส่น้ำแข็งรับประทานแก้และรักษาสตรีมีระดูขาวมากๆ

62. ฟอกโลหิต ใช้ใบมะนาว 7 ใบ ต้มผสมกับน้ำ กินครั้งละ 3 ถ้วยชา วันละ 3 เวลา ได้ผลดี

63. แก้โลหิตจาง ให้เอาผลมะนาวผ่าซีก บีบเอาเฉพาะน้ำ ผสมกับน้ำหวานแล้วปรุงด้วยเกลือทะเลพอสมควร ใส่น้ำแข็ง ใช้รับประทานบ่อยๆ เป็นยาบำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง และทำให้มีฟิวพรรณผุดผ่องมีน้ำมีนวล

64. แก้เหน็บชา ให้เอาลูกมะนาวเท่าอายุคนป่วย ใช้มีดบางคมๆ ผ่าสองเอาหนึ่ง ส่วนที่ไม่เอาแล้วแต่เราจะเอาไปทำอะไร ให้เอาน้ำตาลทรายขาว 1 ลิตร เกลือ 1 ลิตร เอาน้ำ 4 ลิตร ต้มให้เดือด ยกลง พอเย็นหน่อยก็เทใส่ไห แล้วจึงเอามะนาวส่วนที่เอาเทลงดองไว้ในไห ปิดปากไห ไปฝังไว้ในข้าวเปลือก 7 วัน แล้วเอาน้ำมากินให้หมด แล้วเอากากไปตำตากแดดให้แห้ง เอามากินให้หมด โรคเหน็บชาจะหายไป

65. แก้ร้อนในกระหายน้ำ มะนาวสามารถแก้ความกระหายได้ดี กินน้ำมะนาวใส่น้ำแข็งแล้ว จะรู้สึกชุ่มคอ

66. แก้อ่อนเพลีย - ใช้มะนาว 1 ผลครึ่ง บีบเอาแต่น้ำใส่แก้ว แล้วใส่น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำให้ได้ประมาณครึ่งแก้ว กะให้หวานพอดี ดื่มให้หมด จะรู้สึกกระชุ่มกระชวยดี - เวลาฟื้นจากไข้ทานอาหารไม่อร่อยหรือไม่อยากทานอะไรเลยต้องแก้ด้วยอาหารที่มีรสเปรี้ยว ใส่มะนาวหรือชงน้ำมะนาวดื่ม หรือกินมะนาวจิ้มยาหอม หรือกินมะนาวจิ้มเกลือ

67. เป็นยาอายุวัฒนะ - ใช้มะนาว 1 ลูกผ่าออกเอาเม็ดท้อง แล้วคั้นเอาน้ำชงกับน้ำตาล 2 ช้อน และน้ำร้อนพอควร ทำให้แข็งแรงและชุ่มชื่นในลำคอ - ใช้มะนาว 50 ผล น้ำผึ้ง 1 ขวดขาว พริกไทยร่อนครึ่งลิตรเล็ก ตำพริกไทยให้ป่น ใส่ผ้าขาวบางห่อ ใส่โหลดองรวมกันประมาณ 3 วัน นำมากินได้เป็นยาอายุวัฒนะ

68.ยาเจริญอาหาร เอามะนาว 30 ลูกผ่าซีกทั้งเปลือกแล้วเอายาดำหนัก 5 บาท ใส่ดีเกลือเล็กน้อย หร้อมกับเกลือแกงอีกพอประมาณจนรู้สึกว่ามีรสเค็ม เอายาทั้งหมดใส่ขวดโหลดองไว้ประมาณ 3 คืน รับประทานมีสรรพคุณทำให้เป็นยาระบายถ่ายพยาธิ และเจริญอาหาร

69. แก้ความดัน เอาใบมะนาว 108 ใบ ต้มรับประทานแก้โรคความดันต่ำและสูง

70. แก้ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ (โรครูมาติซั่ม) ให้ดื่มน้ำมะนาว ดังนี้ วันที่ 1 ให้ดื่มน้ำมะนาว 2 ผล วันที่ 2 ให้ดื่มน้ำมะนาว 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง วันที่ 3 ให้ดื่มน้ำมะนาว 6 ผล แบ่งให้วันละ 3 ครั้ง ให้เพิ่มมะนาวเรื่อยๆจนถึงวันที่ 10 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง วันที่ 11 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 2 ผล วันที่ 12 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง ให้เพิ่มมะนาวเรื่อยๆจนถึงวันที่ 20 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง

71. ลดความอ้วน การดื่มเครื่องดื่มต้องใส่น้ำตาลน้อยที่สุด และควรดื่มวันละ 8-10 แก้วทุกวัน ตื่นเช้าควรดื่มน้ำมะนาว 1 ผล ในน้ำอุ่นและขนมปังไม่เกิน 1 แผ่น ก่อนอาหารทุกมื้อควรดื่มน้ำมะนาวครึ่งผลผสมน้ำเย็น ก่อนอาหารกลางวันและอาหารเย็นจะช่วยให้อิ่ม อย่าให้ดื่มขณะที่ทานอาหาร ถ้ารู้สึกหิวก่อนเวลาอาหารไม่ว่ามื้อใด ให้รับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว หรือน้ำส้ม น้ำมะนาวสักแก้ว

72. ใช้ในครัวเรือน - หุงข้าวให้ขาวและอร่อย บีบน้ำมะนาว 2-3 ช้อนในข้าว แล้วนำไปซาวข้าว เมื่อหุงเสร็จข้างจะขาว สะอาด กินอร่อย ไม่ออกรสมะนาวเลย - นิ้วมือเวลาเด็ดผักหรือหั่นผัก เนื้อใกล้ๆเล็บมือจะเป็นสีดำมองดูน่าเกลียด ใช้มะนาวถูจะแก้ได้ - เวลาใช้มีดผ่าปลีกล้วย มีดจะเป็นสีม่วงคล้ำ ใช้มะนาวผ่าซีกถูตามใบมีด มีดจะสะอาดดังเดิม - ทอดไข่เจียวให้ฟูและนิ่ม ขณะตีไข่ให้ใส่มะนาว 4-5 หยด ไข่จะฟูและนิ่ม - การเชื่อมกล้วยหักมุกให้น่ารับประทาน พอน้ำตาลเดือดเป็นยางมะตูม ให้บีบมะนาวครึ่งซีกตาม แต่กล้วยมากหรือน้อยจะช่วยให้กล้วยใสน่าทาน - ถ้าต้มปลาสด ต้องการให้ปลาคงรูปไม่เละ ไม่มีกลิ่นคาว ควรบีบมะนาวลงไปสักนิดหน่อย - ใช้มะนาว 2-3 ผล แทรกไว้ในข้าวสาร จะช่วยป้องกันมอดได้ - เปลือกมะนาวใช้เช็ดภาชนะ ทองเหลือง ทองแดง เครื่องเงิน เครื่องนาค เครื่องเงินจะใหม่ เงางามสุกใสขึ้น

- ฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ 2-3 ลูกใส่ในน้ำเย็น 1 ป๋อง ประมาณ 10 ลิตร เติมการบูร 2 แท่ง ตั้งทิ้งไว้ในห้องที่ทาสีใหม่ๆ ปิดประตู หน้าต่างให้หมด น้ำมะนาวและการบูรจะช่วยดูดกลิ่นสีได้อย่างดี - ผ้าที่เปื้อนน้ำหมาก เปื้อนหมึก ใช้น้ำตาลทรายเล็กน้อย โรยตรงรอยเปื้อนหยดน้ำลงไปพอชุ่ม แล้วถูด้วยมะนาวจะลบรอยเปื้อนได้ - เตารีดร้อนจัดรีดผ้าขาวจะทำให้ผ้าเหลือง ให้เอาน้ำมะนาวทาที่เตารีด ก่อนรีดผ้าจะแก้ได้ - ต้มผ้าให้สะอาด ฝานมะนาว 2-3 ชิ้น ใส่ด้วย ช่วยให้ผ้าสะอาด - ใช้มะนาว เกลือป่น ถูบริเวณที่เสื้อขาวเปื้อนเลือด ซักด้วยน้ำเย็นจะออกหมด - เครื่องใช้ที่เป็นหนังทิ้งไว้นานหลายปีทำให้แข็งกระด้าง เอาน้ำมะนาวขัดถู ทำให้หนังนิ่มแล้วใช้ยาขัดอีกที จะทำให้ดูใหม่ขึ้น

ที่มา guru.sanook.com

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์




สรรพคุณ และ ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์

เกร็ดน่ารู้ของเราในวันนี้คือประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ อย่างที่รู้ๆ กันดีว่าสมุนไพรของไทยล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้นแต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่ามะพร้าวก็เป็นอีกหนึ่งสมุนไพรของไทยที่มีประโยชน์ไม่แพ้อย่างอื่นเหมือนกันน๊า… วันนี้เราก็เลยไปนำเอาเกร็ดความรู้ดีๆ เกี่ยวกับ ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ และ สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ มาฝากกันค่ะ

มะพร้านอกจากจะนำมารับประทานแล้วประโยชน์ที่เราเห็นได้ชัดนั้นก็คือการทำน้ำมันมะพร้าวและ สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ มีมากมายหลายหลาย และที่สำคัญ ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ยังทำเป็นเครื่องสำอางค์จากธรรมชาติที่มีความปลอดภัยเป็นอย่างมาก แต่ว่า ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ และ สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ยังไม่ใช่หมดเพียงเท่านี้ยังมีอีกมากมาย ถ้าอยากรู้แล้วเราก็เข้าไปดู ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ และ สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ที่ดีๆ กันเลยดีกว่านะค่ะ

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ คือ น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นโดยไม่ผ่านความร้อน (cold press coconut oil) ผลิตจากเนื้อมะพร้าวสดเป็นน้ำมันมะพร้าวที่บริสุทธิ์ที่สุด สีใสเหมือนน้ำมีวิตามินอีและไม่ผ่านขบวนการเติมออกซิเจน (oxidation) และที่สำคัญกรดคลอริกในน้ำมันมะพร้าวมีกรดคลอริกอยู่ประมาณ 54.61% กรดนี้มีส่วนที่ทำให้น้ำมันมะพร้าวดีเด่นกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ เพราะมันมีความสามารถพิเศษคือ สร้างภูมิคุ้มกัน เมื่อเราบริโภคน้ำมันมะพร้าวเข้าไปในร่างกายกรดคลอริกในน้ำมันมะพร้าวจะเปลี่ยนเป็นโมโนกลีเซอไรด์ที่มีชื่อว่า โมโนลอรีน ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกับที่อยู่ในน้ำนมมารดาที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับทารกในระยะ 6 เดือนแรกที่ร่างกายยังไม่สร้างระบบภูมิคุ้มกันทำให้เด็กระยะแรกเกิดไม่ค่อยเป็นอะไร และยังสามมารถฆ่าเชื้อโรค ในโมโนลอรีนเป็นสารปฏิชีวนะที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่สามารถฆ่าเชื้อที่ก่อให้เกิดหลอดเลือดแข็งตัว

สรรพคุณ / ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์

1. ช่วยในการชะลอความชรา
- ช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ
- ป้องกันการเหี่ยวย่นของผิวหนัง
- ป้องกันการเกิดกระและรอยคล้ำบนผิวหน้า
- ป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง กระด้าง

2. ป้องกันผมหงอก
น้ำมันมะพร้าวสามรถช่วยลดปริมาณการสูญเสียโปรตีนของเส้นผม เพราะน้ำมันมะพร้าวสามารถยึดเกาะกับโปรตีนของเส้นผมจึงช่วยเสริมความแข็งแรง โดยการรักษาความชื้น และลดรอยแตกแยกในเส้นผมได้ดี

3. ช่วยป้องกันโรค
การบริโภคน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำ(เลิกบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัว)จะช่วยแก้ สถานการณ์ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง อ่อนล้าของผู้สูงอายุ และสามารถลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ฯลฯ

4. โรคอ้วน
- ให้พลังงานน้อย
- ช่วยนำไขมันที่สะสมไว้มาใช้เป็นพลังงานน้ำมันมะพร้าวยังไปเร่งอัตราการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน

ขอบคุณบทความจาก : gigail.com

ข้าวเนื้อตุ๋น สมุนไพร น่าทานมาก






ข้าวเนื้อตุ๋น....พร้อมวิธีทำ

เครื่องปรุง

เนื้อเอ็นน่อง ½ กิโลกรัม
ข่า 1 ชิ้น
รากผักชี 3 ราก
ใบกระวาน 1 ใบ
อบเชยชิ้นเล็กๆ 1 ชิ้น
เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา

วิธีทำ
1. นำเนื้อเอ็นน่องตัดเป็นชิ้นพอประมาณใส่หม้อต้มพร้อมกับข่า รากผักชี อบเชย ใบกระวาน เกลือ ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ

2. พอเดือดให้หรี่ไฟอ่อนลง ปิดฝาเอาไว้เคี่ยวต่อไปเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง

3. พอได้ที่ตามกำหนดเวลาแล้วก็ปล่อยให้เย็นลง เติมน้ำเพิ่มเข้าไปอีก เพราะน้ำเริ่มจะขอดแล้ว ปรุงรสแล้วแต่จะชอบแล้วตั้งไฟให้เดือดอีกครั้ง พร้อมทานกับข้าวสวยหรือใส่ลงในก๋วยเตี๋ยวได้ 

การใช้ยาสมุนไพร


การใช้ยาสมุนไพร

เมื่อมีอาการเจ็บไข้ได้ป่วย คงหนีไม่พ้นการรับประทานยา ซึ่งการรับประทานยาเป็นเรื่องที่ยากสำหรับใครหลายคน โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ที่อยู่ที่บ้านเรานั้นการรับประทานยาแผนปัจจุบันดูจะเป็นอะไรที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันเลยทีเดียว แม้กระทั่งคนสมัยใหม่ก็มีความเชื่อว่ายาแผนปัจจุบันทำให้เกิดอาการข้างเคียงมากมาย การหันมารับประทานสมุนไพรจึงเป็นที่นิยมมากขึ้น หลายท่านจึงอาจจะสงสัยว่าการรับประทานสมุนไพรอย่างไรจะได้ประสิทธิภาพมากที่สุด


สมุนไพรแต่ละชนิดมีสรรพคุณทางยาแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีหลายสรรพคุณในต้นเดียวกันอีกด้วย เพราะว่าในต้นไม้แต่ละต้นนั้นจะมีตัวยาสำคัญที่แตกต่างกัน นอกจากนั้นเจ้าตัวยาสำคัญยังมีหลายชนิดในหนึ่งต้น และยังกระจายตัวอยู่ในแต่ละส่วนของต้นไม่เท่ากันอีกด้วย เพราะฉะนั้นการใช้สมุนไพรอย่างถูกต้องเราควรปฏิบัติ ดังนี้


1. เลือกใช้สมุนไพรให้ถูกต้นตามสรรพคุณ เชื่อหรือไม่ว่า ต้นไม้ต้นหนึ่งมีชื่อเรียกมากมายหลายชื่อ ต่างถิ่นก็เรียกแตกต่างกัน หรือ ชื่อเดียวกันแต่คนละพื้นที่ก็กลายเป็นคนละต้นกัน เพราะฉะนั้นจะเลือกใช้สมุนไพรให้ถูกโรคสิ่งแรกก็ต้องได้สมุนไพรที่ถูกต้นมาก่อน
2. เลือกใช้ให้ถูกส่วน อย่างที่บอกไปแล้วว่าตัวยาสำคัญในต้นไม้ถูกสร้างและเก็บไว้ในแต่ละส่วนของต้นไม้ไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นต้นไม้ต้นเดียวกันในส่วนของ ใบ ดอก ราก หัว เหง้า จะมีตัวยาสำคัญไม่เท่ากันหรือมีตัวยาสำคัญที่แตกต่างกัน ดังนั้นสรรพคุณทางยาและผลการรักษาก็แตกต่างหรือไม่เท่ากัน ในบางครั้งอาจได้สรรพที่ตรงกันข้ามกันอีกต่างหาก
3. เลือกใช้ให้ถูกเวลา นอกจากจะใช้ถูกต้น ถูกส่วนแล้ว ต้องถูกเวลาด้วย คำว่าถูกเวลาขอยกตัวอย่างเช่น ฟ้าทะลายโจร สมุนไพรที่ใครๆก็รู้จัก มีให้เลือกใช้หลากหลายรูปแบบ ส่วนใหญ่ที่เราพบกันจะเป็นแคปซูลใบฟ้าทะลายโจร ใบที่นำมาเป็นยานั้นจริงๆแล้วควรเป็นใบอ่อนหรือใบแก่ จากการศึกษาพบว่า ใบฟ้าทะลายโจรมีสารสำคัญทางยาโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ต้นยังไม่ออกดอก หากออกดอกแล้ว ตัวยาจะวิ่งไปเก็บที่ดอกหมด การรับประทานใบฟ้าทะลายโจรในช่วงนั้นจึงให้ผลการรักษาไม่ดี
4. เลือกใช้อย่างถูกขนาด ข้อนี้ไม่เข้าใจไม่ยาก เหมือนยาแผนปัจจุบันถ้าใช้มากเกินไปก็เป็นอันตรายแน่นอน หากใน้อยเกินก็ไม่เห็นผล
5. เลือกใช้อย่างถูกวิธี สมุนไพรบางอย่างต้องต้ม บางอย่างต้องดองเหล้า บางตำรับต้องใช้ร่วมกับสมุนไพรตัวอื่น บางอย่างใช้ได้แค่ภายนอก หรือเฉพาะที่เท่านั้น
6. เลือกใช้ให้ถูกโรค นอกจากจะถูกโรคแล้วยังต้องไม่ทำให้โรคประจำตัวที่มีอยู่แย่ลงด้วย หรือทำให้ยาที่ใช้อยู่เป็นประจำทำงานได้ไม่เหมือนเดิม หรือที่เรียกว่า ยาตีกันนั่นเอง


การใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธีเท่าที่เล่ามาอาจจะดูเป็นเรื่องยากและจุกจิกมากทีเดียว อย่างไรก็อย่าเพิ่งเปลี่ยนใจไม่อยากใช้ยาสมุนไพรกันนะคะ เพราะถ้าเราใช้สมุนไพรอย่างถูกวิธี ประสิทธิภาพในการรักษาโรคก็จะดี สุขภาพเราก็จะดีตามไปด้วย


เอกสารอ้างอิง

1. สมภพ ประธานธุรารักษ์, พร้อมจิต ศรลัมม์. สมุนไพร: การพัฒนาเพื่อการใช้ประโยชน์
ที่ยั่งยืน. กรุงเทพมหานคร: โครงการเผยแพร่ข้อมูลและตรวจสอบมาตรฐานสมุนไพร มหาวิทยาลัย
มหิดล. 2547: 88 – 91.
2. http://www.medplant.mahidol.ac.th/document/correct.asp


เรียบเรียงโดย ภญ.ภัทราวดี จิระอนันต์กุลบันทึก วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2011 เวลา 00:00 น.
แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 01 ตุลาคม 2012 เวลา 13:09 น.

ยาหอมไทย



ยาหอมไทยดีอย่างไร

โดยนาย คมสัน ทินกร ณ อยุธยา
กรรมการผู้จัดการ บริษัทภูลประสิทธิ์ จำกัด
ผู้ผลิตยาแผนไทย สืบตำรับ ม.ร.ว. สอาด ทินกร ได้รับ GMP

ยา + หอม เป็น “ยาหอม” ฉะนั้นสรรพคุณแรกสุดของยาหอม คือ ต้องหอม ยาหอมต้องมีรส กลิ่นสุขุม คือกลางๆ ไม่ร้อนไปเย็นไป สุขุมออกทางร้อน แก้ลมกองหยาบ สุขุมออกทางสุขุม แก้ลมกองละเอียด ยาหอม คือ อโรมาเธอราปี แบบกลิ่นสัมผัส ในสมัยก่อน ใช้นัตถุ์

ยา หอมได้ด้วยของหอม คือสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม มีน้ำมันหอมระเหยทางธรรมชาติ อาทิ เกสรทั้งห้ามีพิกุล /บุนนาค /สารภี/เกสรบัวหลวง/มะลิลา ไม้หอม กำยานหอม หญ้าฝรั่น พิมเสน ชะมดเช็ด เป็นต้น

นอกจากสมุนไพรของหอมแล้ว วิธีการผลิต ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ยา หอม การอบ เครื่องหอม การปรุงเครื่องหอม ล้วนทำให้ยานั้นหอมขึ้น

ยาหอมไม่ใช่แค่แก้ลม สรรพคุณยาหอมนั้น เสมือนเป็นยาสามัญประจำบ้าน คิดอะไรไม่ออก หยิบอะไรไม่ถูก หยิบยาหอมไว้ก่อน วิงเวียน หน้ามืดตาลาย เมารถ เมาเรือ เมาเหล้า นอนไม่หลับ ปวดท้อง ท้องแน่นเฟ้อ อาหารไม่ย่อย เครียด คนไทยใช้ยาหอมมาแต่โบราณ เป็นร้อยกว่าปีขึ้นไป ฝรั่งใช้แอมโมเนีย แต่คนไทยมียาหอมมากมาย เพราะเป็นโรคทางลมมากกว่า เนื่องจากเพราะถิ่นที่ตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้นมักป่วยจากลมเป็นเหตุ

ยาหอมพม่า เรียกกันว่า “อะปะทะ” ใช้สูดดม ยาหอมแขก เรียก พูดิน่า (สาระแหน่) ใช้ทานเวลาอาหารไม่ย่อย ยาหอมไทย มีทั้ง ยาหอมลมกองหยาบ/ลมกองละเอียด/ ลมทั้งสองกอง แต่กองลมนั้นแยกย่อยได้อีกมากมาย ตามแต่เหตุสมุฎฐานที่เกิดอาการ ลมไปถึงไหนใช้ยาหอมตามไปแก้ เช่นลมในช่องท้อง/ลมแน่นที่หน้าอก/ลมจุกที่คอ /ลมตีขึ้นเบื้องสูง หมอไทยปรุงยาหอมแยกไปตามอาการเหล่านั้น โดยใช้สมุนไพรที่ออกฤทธิ์ต่างกัน นับเป็นภูมิปัญญายิ่งของหมอไทย

ยาหอม ช่วยแก้ลม แต่ลมมีหลายกอง ไม่ใช่ยาหอมหนึ่งขนาน แก้ได้ทุกกองลม ยกเว้นยาหอมขนานนั้น เข้าตัวยาพร้อมทั้งกรรมวิธีในการปรุ ครบเครื่อง ทั้งสมุนไพรรสร้อน รสเย็น พืชวัตถุ สัตว์วัตถุ มีการเพิ่มฤทธิ์ ด้วยกรรมวิธีการปรุงยาหอม การอบกระแจะ การผสมผสานด้วยเครื่องยาออกฤทธิ์ได้เร็ว เช่น ชะมดเช็ด เป็นต้น ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ รรอมเมื่อปรุงแล้ว ต้องมีรสสุขุมเท่านั้น ยาหอมออกรสอื่น เช่นรสหวานไม่ใช่ยาหอม ถึงแม้จะปรุงด้วยเครื่องยารสร้อน รสเย็น เหตุเพราะรสหวาน ทำให้เกิดเสมหะ รสหวานชอบทางเนื้อ ไม่ชอบทางลม หวานบำรุงเนื้อ ไม่ใช่แก้ลม รสสุขุมของยาหอมยังแบ่งออกได้อีกเป็น

สุขุมออกทางร้อน

: สำหรับอาการทางลมที่ธาตุไฟหย่อน เช่น อาหารไม่ย่อย

สุขุมออกสุขุม

: สำหรับ ลมกองละเอียดมากๆ ต้องการฤทธิ์เร็ว ในการแก้อาการ เช่น อาการลมเข้าไปเสียดชายโครงด้ายซ้าย

สุขุมออกทางเย็น

: สำหรับ อาการลมที่ธาตุไฟกำเริบอยู่ มีลมพร้อมไข้แทรก นั่นคือความประณีตของยาหอมไทย

การใช้ยาหอมควรใช้ให้ถูกต้อง การปรุงยาหอมก็ต้องทำให้ครบถ้วนตามสรรพคุณที่ต่างกันไปนั้น แล้วอายุขนาดใดจึงใช้ยาหอมได้ ยาหอมใช้ได้ทุกวัย นับแต่แรกเกิด เด็กมักป่วยด้วยเหตุลมกองหยาบ ท้องมักอืดแน่นปวดท้อง เข้าวัยรุ่น ยิ่งสมัยนี้ เป็นโรคคอมพิวเตอร์ซินโดรมกันมาก ลมกองหยาบมักกำเริบ ลามไปถึงอาการตึงคอ บ่า ไหล่ ปวดหัวไมเกรน เข้าวัยผู้ใหญ่ ๓๒ ปีขึ้นเป็นปัจฉิมวัย ลมกำเริบอีก ทั้งลมกองหยาบ ลมกองละเอียด มากันครบ กินยาหอมแล้วควรจะเรอหรือผายลม เพราะยาหอมขับลม แล้วอาการใดบ้างละ ที่ต้องใช้ยาหอม

แน่นอึดอัด/ไม่ผายลม/ไม่เรอ/อาหารไม่ย่อย/เมารถ ใช้ยาหอมรสสุขุมร้อน

อึดอัดไม่สบายจากพิษไข้ ตาเซื่องซึม ท้องเสีย ใช้ยาหอมรสสุขุมเย็น

ปวดเสียวใต้ชายโครงด้านซ้าย/ปวดหัวไมเกรนแล้วผะอืดผะอม ใช้ยาหอมรสสุขุมๆ

เพลียเหนื่อย/ลมแดด/นอนไม่หลับ/ไม่สบายใจ/หน้ามืดตาลาย/บ้านหมุน ใช้ยาสุขุมๆ

บำรุงหัวใจ/บำรุงระบบประสาท/บำรุงธาตุ ใช้ยาหอมสุขุม/สุขุม

ยาหอมที่ดีที่สุด คือยาหอมที่เข้าเครื่องหอม ประกอบด้วย หญ้าฝรั่น/พิมเสนในปล้องไม้ไผ่/ชะมดเช็ด/ชะมดเชียง/อำพันทอง สรรพคุณดีที่สุด/ทำยากที่สุด/ราคาแพงที่สุด ใช้กับลมปัจจุบัน

แล้วควรใช้ยาหอมอย่างไร ยาหอมเป็นผงดีที่สุด เพราะได้อโรม่าครบทั้งกลิ่นและสัมผัส ถ้าไม่เข้าชะมดเช็ด ใช้ชงกับน้ำอุ่น ถ้าเข้าชะมดเช็ด ให้ทานหรือนัตถุ์ ถ้าเป็นเม็ดใช้แล้วแตกตัวในท้อง เหมาะกับยาหอมรสสุขุมร้อน วิธีทดสอบยาหอม ถ้าไม่เข้าสารปนเปื้อนที่เป็นวัตถุหนัก ให้ดูที่การกระจายตัวในน้ำ ถ้าทิ้งดิ่งลงมา แสดงว่ามีการปนเปื้อน เพราะหนักกว่าน้ำ ดูผู้ผลิตว่าได้ อย. ไหม มีมาตรฐานผลิตGMP ไหม ยาหอมต้องมาจากธรรมชาติล้วนทั้งหมด


ยาหอมไทย ภูมิปัญญาไทย สร้างมาเพื่อคนไทย ในถิ่นไทย คงไม่มีคำกล่าวที่ว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้วเรามียาหอมไว้รักษาโรคลม แต่สูญหายไปหมดสิ้นแล้วในปัจจุบัน


ยาหอมไม่ใช่แค่แก้ลม

ยาหอมไทยตำรับนี้ปัจจุบันสืบทอดมาได้ถึงชั่วคนที่เจ็ดแล้ว และสำหรับราชกุลนี้ มี ๓ ภูมิปัญญา ที่ส่งผ่านสืบต่อกันมา


๑. เรื่องตำรับยาไทย(สืบ ตำรับโดย หม่อมราชวงศ์สอาด ทินกร)


๒.เรื่องอาหารไทย ( สถาบันศิลปอาหารไทย ตำรับ หม่อมหลวงพวง ทินกร )


๓. เรื่องดนตรีและการประพันธ์ (เช่น ท่านเหมเวชกร ลูก มล.สำริด ทินกร /นายอุทิตต์ ทินกร ณ อยุธยา นักดนตรีวง อ.ส. วันศุกร์ ) เป็นต้น ในด้านยาไทย สืบมาจาก หม่อมเจ้า๔ พี่น้อง เจียก /ปาน/ภูลสวัสด์/ปราณี ซึ่งแต่ละท่านเป็นแพทย์ในพระองค์รัชกาลที่ ๕ โดยเฉพาะหม่อมเจ้าเจียก ได้รับใช้ใกล้ชิดเวลาเสด็จประพาสในที่ต่างๆ ทั้งยังเป็นผู้อำนวยการราชแพทยาลัย ครั้งก่อตั้งศิริราชพยาบาล สอนและรักษาแบบแผนโบราณ จนสถาบันแพทย์แผนไทย ยกย่องให้ท่านเป็นผู้มีคุณูปการต่อวงการแพทย์แผนไทยในปัจจุบัน ตำรับและวิธีการรักษา การวินิจฉัยสมุฎฐานโรค ได้ถูกส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น อย่างไม่ขาดช่วงตอน ตั้งแต่ครั้งยังอยู่ในวังทินกร มีคลินิกรักษา ชื่อ พิพิธเภสัชบริษัท จนมาเป็นร้านขายยาหม่อมราชวงศ์สอาด ทินกร ตั้งแต่ช่วงรัชกาลที่๖ จนถึงปัจจุบัน และพัฒนาขึ้นเป็น บริษัทภูลประสิทธิ์ จำกัด ผลิตยาแผนไทย ที่ได้รับมาตรฐานการผลิตจีเอ็มพี


ยาหอมภูลประสิทธิ์ ตำรับที่สืบจากหม่อมเจ้าในราชกุล “ทินกร” เริ่มมีมาตั้งแต่ครั้งวังทินกร ประมาณช่วงรัชกาลที่๔ ถึง ๕ เรียก ยานัตถุ์หอมภูลประสิทธ์ ซึ่งมีชื่อเสียงนับมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ในตำรับจริงๆแล้ว มียาหอมที่ทำสืบกันมาหลายขนาน อาทิ ยาหอมภูลประสิทธิ์/ ยาหอมอุดมนพรัตน์/ยาหอมสังข์ทิพย์/ยาหอมมหาสีสว่าง/ยาหอมเทพจิตรารมย์/ยาหอมเศียรสมุทร/ยาหอมกล่อมอารมณ์เป็นต้น


ภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดต่อกันมา นอกจากเรื่องตำรับทางยารักษาโรคแล้ว ยังเป็นเรื่องของการวินิจฉัยอาการแห่งโรค โดยเฉพาะทางวาโย เป็นสมุฎฐานโรค จำแนกได้ตามอาการ ที่ได้วินิจฉัยดังนี้
- ลมกองละเอียด/ลมกองหยาบ แบบไม่มีไข้เป็นอาการข้างเคียง ใช้ยาหอมภูลประสิทธ์
- ลมกองละเอียด แบบมีไข้เป็นอาการข้างเคียง ใช้ยาหอมมหาสีสว่าง
- ลมกองหยาบ เป็นสมุหฐาน ใช้ยาหอมอากาศบริรักษ์
- ลมแน่นเข้าที่หน้าอก ใช้ยาหอมอุดมนพรัตน์
- ลมจุกในลำคอ ใช้ยาหอมสังข์ทิพย์
- ลมเข้าตามเส้นแนวไหล่ถึงศีรษะ ใช้ยาหอมอดุลสำราญ
- ลมตีขึ้นเบื้องสูง ใช้ยาหอมเทพจิตรารมณ์
- ลมกระทำต่อศีรษะ ให้ปวด ใช้ยาหอมเศียรสมุทร
- ลมที่กระทำให้มิหลับ ใช้ยาหอมกล่อมอารมณ์
- ลมปลายไข้ ใช้ยาหอมมหาเนาวรัตน์
- ลมที่กระทำต่อระบบทางเดินหายใจ ใช้ยาหอมมหาสว่างอารมณ์ใหญ่
- ลมเข้าแนวเส้นปัตตฆาต ใช้ยาเหลืองปัตตะฆาต
- ลมเข้าในเส้น ใช้ยามหาสันนิบาตุ
- ลมเข้าในกระดูก ใช้ยามหาโมคจร
- ลมกระษัย กล่อน ใช้ยาทำลายพระสุเมรุ
- ลมพรรดึก ใช้ยาธรณีไหว
- ลมแดด/ลมตะกร้อ ใช้ยาอุทัยโอสถ/วิมลจินดา
- ลมพิษ ใช้ยาเขียวประกายพฤกษ์
- ลมอัมพฤกษ์ / อัมพาต ใช้ยานเรศเรื่องฤทธิ์

สำหรับด้านวัตถุดิบ
แหล่งที่มา
สืบเนื่องต่อกันมารุ่นสู่รุ่น เช่น มะลิซ้อน จากสุพรรณบุรี บัวหลวง จากนครสวรรค์ มะลิลา จากนครปฐม บุนนาค จากพิษณุโลก ใบเนียม จากจันทบุรี ปัญหา วัตถุดิบเริ่มน้อยลง เนื่องเพราะภาวะแห้งแล้ง คนรุ่นต่อมาไม่ทำต่อ อีกทั้ง แปลงที่ใช้ทำยา ไม่มีการพ่นยาฆ่าแมลง บำรุงรักษายาก
ราคา
โดยเฉพาะเครื่องปรุงหอม สำหรับยาหอมลมกองละเอียด หายากและราคาสูงมากเช่นพิมเสนในปล้องไม้ไผ่ จากมาเลเซียและอินโดนีเซีย หญ้าฝรั่นจากอิหร่านและสเปนชะมดเชียงจากประเทศจีน ชะมดเช็ดจากไทยซึ่งราคาปัจจุบันถึงกิโลกรัมละ สองแสนกว่าบาท เนื่องจากในตำรับยาไทยหลายขนาน เช่น ยาหอมตำรับที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศใช้ ก็เข้าชะมดเช็ด จำนวนตัวชะมดเช็ดในไทยที่ได้รับการประกาศเป็นสัตว์สงวนได้ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านนิยมนำไปบริโภคเป็นอาหารชูกำลังเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ พื้นที่ป่าไม้ลดลง คนไปแย่งที่ทำกินของชะมดในป่า จำนวนผู้เลี้ยงชะมดลดลงไม่มีผู้สืบต่อ ชะมดเลี้ยงยาก เพาะพันธ์ยาก ต้นทุนในการเลี้ยงสูง เหล่านี้เป็นปัจจัยหลักทำให้ชะมดเช็ดในตลาดหายากและราคาสูงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงจุดหนึ่งคงไม่สามารถทำยาแก้ลมกองละเอียดกันได้อีกต่อไป ตำรับตำราก็จะขึ้นเก็บบนหิ้งเหมือนยาไทยอีกหลายขนานที่ไม่สามารถปรุงได้แล้วในปัจจุบัน แต่ก็ได้ทราบข่าวอันเป็นมงคล ความนี้ได้ทราบถึงพระเนตรพระกรรณ สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ทรงมีพระราชดำริให้โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ทำการศึกษาค้นคว้าวิจัยวิธีการเพาะเลี้ยงและขยายพันธ์ชะมดเช็ด เพื่อเป็นการอนุรักษ์พันธ์ โดยเป็นการศึกษาร่วมกัน ระหว่าง กรมอุทยาน แห่งชาติ ร่วมกับโครงการพัฒนาส่วนพระองค์ ทั้งนี้รวมถึงวิธีการนำไขชะมดมาใช้ให้เป็นประโยชน์ทางด้านยาแผนโบราณ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้กับประชาชนโดยทั่วไป อยากขอความร่วมมือจากสถาบันการแพทย์แผนไทย ในเรื่องของชะมดเช็ดด้วย โดยเฉพาะงบประมาณสนับสนุนการวิจัยเพาะเลี้ยงขยายพันธ์ เพื่อให้ยาหอมไทยคงอยู่สืบไป ไม่สูญสิ้นเหมือนยาอื่นอีกหลายๆขนาน
คุณภาพวัตถุดิบ
ไม่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมชาติ ผู้ผลิตจำเป็นต้องพิถีพิถัน มีความรู้เรื่องการปรุงยา เช่น ถ้าใช้ดอกไม้หอม จากต้นไม้ยืนต้น อย่างน้อยต้นต้องมีอายุเกินสิบปีขึ้นไป ดอกมะลิซ้อนต้องเก็บตอนเช้ามืดเท่านั้น สมุนไพรบางอย่างต้องผ่านการประสะฆ่าฤทธิ์ก่อนนำไปใช้ เช่น หัวบุก รากกระย่อม กาวเครือขาวและแดง เป็นต้น
ขั้นตอนการผลิต ยาหอมลมกองละเอียด ต้องมีการอบกระแจะหอมเป็นพื้นฐานในการปรุงยา อบร่ำด้วยเครื่องหอมอย่างน้อยหกสิบวัน จึงนำไปปรุงยาขั้นต่อไปได้ เพื่อคุณภาพและและประสิทธิผลในการบำบัดรักษา เป็นภูมิปัญญาของไทยที่จำต้องอนุรักษ์ไว้ การทำความสะอาดวัตถุดิบสมุนไพร มีความจำเป็นสูง การตรวจสอบจากแลปก็เช่นกัน เพื่อให้ปราศจากเคมี และเชื้อต่างๆ ผลิตยาโบราณ แต่สามารถนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในขั้นตอนการผลิตได้้
ขั้นตอนการผลิตยาหอม
1. เจียดยาจากแหล่งวัตถุดิบ
2. ชั่งน้ำหนัก ตรวจสอบคุณภาพ
3. ล้างทำความสะอาด ส่วนที่มีน้ำมันหอมระเหย แยกออก
4. ตากให้แห้งแล้วอบ
5. ส่งแล็ปตรวจเคมีปนเปื้อน
6. บดหยาบ /ละเอียด
7. ร่อน
8. ตรวจสอบการปนเปื้อนคร้งที่1
9. ผสมน้ำกระสายยา
10. ปาด แล้วนำอบกระแจะ ให้เป็น กระแจะสุกอีก 60 วันๆ ละ 10 ชม.
11. อบให้แห้ง
12. บดละเอียด
13. ร่อน
14. ผสมเครื่องหอม
15. คนยาให้เข้ากันอีก 3 ชม. ด้วยมือเท่านั้น
16. ร่อน สามรอบ
17. ตรวจสอบการปนเปื้อนครั้งที่ 2
18. นำบรรจุ

จะเห็นได้ว่ากว่าจะได้มาเป็นยาหอม ต้องผ่านขบวนการกรรมวิธีที่ละเอียดอ่อน ใช้ความมานะเพราะทุกอย่างจากอดีตจนปัจจุบันไม่มีการเปลี่ยนแปลงในขั้นตอนการผลิต เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วทำอย่างไร ปัจจุบันก็ยังทำเช่นนั้นอยู่ จึงได้ยาที่หอม สมเป็นยาหอม เป็นยาอโรม่าเธอราปี ทางกลิ่นสัมผัส ทำให้ชุ่มชื่นในหัวใจ แก้อาการลมกองหยาบ คือ ลมที่ทำให้ท้องแน่นอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ลมกองละเอียดคือลมที่ทำให้หน้ามืดตาลาย วิงเวียน ปวดมึนในศีรษะ ยาหอมแต่ดั้งเดิมนั้น ใช้เป็นยานัตถ์ ตรงเข้าสู่ระบบประสาท แต่ปัจจุบันมักอยู่ในรูปแบบของผง ใช้ชงกับน้ำอุ่น แต่สำหรับยาหอมภูลประสิทธิ์ เข้าชะมดเช็ด ไม่ละลายในน้ำ ใช้ทานโดยตรงออกฤทธิ์เร็ว ยาหอมต้องออกฤทธิ์เร็ว เนื่องจากหากเกิดอาการทางลม เช่น เป็นลมแดด ลมชัก ลมปัจจุบัน เกิดอาการหมดสติ ยาหอมต้องเข้าไปทำหน้าที่ขับกองชีพจรขึ้นใหม่ ต้องเข้ากระแสโลหิตได้เร็วที่สุด หากช้าไปไม่ทันการณ์ ชะมดเช็ดเป็นตัวนำยาให้แล่นได้เร็ว อีกทั้งขบวนการอบกระแจะหอมยังไปช่วยเพิ่มฤทธิ์ในการบำบัดของยานั้น ขอยกสรรพคุณของยาหอมภูลประสิทธิ์ ในฉลากยาที่ใช้กันมาตั้งแต่ครั้งหม่อมราชวงศ์สะอาด ทินกร ดังนี้

“ เป็นยาดับและและแก้ลมทุกชนิด จากต้นตำรับของ หม่อมเจ้าภูลสวัสดิ์ ทินกร โดยหม่อมราชวงศ์ สอาด ทินกรและ หม่อมราชวงศ์หญิงเจือ ทินกร ผู้เป็นบุตรได้ปรุงจำหน่ายสืบมา ยาขนานนี้แก้ลมทุกจำพวก เช่น ลมคลื่นเหียน, วิงเวียน ,หน้ามืดตามัว, หัวใจเต้นผิดปกติ, ลมในลำไส้และกระเพาะอาหาร ซึ่งทำให้ท้องเฟ้อแน่น, จุกเสียด ลมที่เกิดจากเส้นประสาท อันมีอาการนอนไม่หลับ ,ใจคอหงุดหงิด, มึนงง, อ่อนเพลีย จนไม่สามารถใช้สมองได้ หรือใช้ความคิดในกิจการต่างๆได้ ลมขึ้นเบื้องสูงกระทบดวงจิต กระทำให้หน้าซีดตาเซียว เหงื่อออกผิดธรรมดา หายใจไม่สะดวกและชีพจรอ่อนลง จนถึงมีอาการชักกระตุกแน่นิ่งหรือสลบ เหล่านี้เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นยาบำรุงหัวใจและช่วยอาการซึ่งเกิดจากการหิวโหย เหนื่อยอ่อน ร้อนจัด เมาคลื่น เมาสุราให้บรรเทาลงได้ สำหรับท่านที่สุขภาพไม่สมบูรณ์ หญิงมีครรภ์ ตลอดจนทารกซึ่งเกิดลมได้เนืองๆ ยาขนานนี้เป็นคุณประโยชน์ อย่างยิ่ง ยาหอมภูลประสิทธิ์เหมาะสำหรับท่านหญิง ท่านชายทั่วไป ซึ่งควรมีไว้ประจำบ้านและติดตัวไปสถานที่ต่างๆเสมอ เมื่อถึงคราวฉุกเฉินและมีอาการไม่สบายขึ้นดังกล่าว ก็ใช้ยานี้บำบัดได้ทันที”

ที่กล่าวมาคือสรรพคุณของยาหอมแก้ลมกองละเอียดและกองหยาบโดยสมบูรณ์ นอกจาก

นั้นยาหอมลมกองละเอียดยังช่วยบำรุงระบบประสาทอีกด้วย เหมาะสำหรับโรคในปัจจุบัน เช่น

อัลไซเมอร์ เป็นต้น ทานยาหอมเป็นการบำรุงและการป้องกันไว้ก่อน หรือแม้แต่โรคกรดไหลย้อน

หากลมกองหยาบเป็นสมุฎฐาน ยาหอมก็ช่วยได้เช่นกัน


เรื่องราวยาหอมไทย คุณค่าภูมิปัญญาไทยติดตามได้ที่ www.yahomthai.com

และ www.dtam.moph.go.th สายด่วนยาหอมไทย