วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

น้ำใบย่านาง มีสารคลอโรฟีลล์



ใบย่านาง
มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารมากมาย วิตามินเอ,วิตามิซีโปรตีน, คาร์โบรไฮเดรด,ไขมัน, แคลเซียม,ฟอสฟอรัส ,เหล็ก, ไนอาซีน, ใยอาหาร 
          ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า น้ำคั้นจากใบย่านาง มีสารคลอโรฟีลล์ (Chlorophyll) ช่วยปรับความสมดุลของร่างกาย มีฤทธิ์เย็น เด็ดใบมาคั้นน้ำเป็นน้ำซุบ ปรุงอาหารได้หลายอย่าง จะใช้น้ำที่คั้น ผสมลงในอาหาร เช่น แกงอ่อมต้มแชบ ,ซุบหน่อไม้ 
          
ประโยชน์ ของสารคลอโรฟีลล์ (Chlorophyll) ที่ร่างกายได้รับ

•ทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจากการอ่อนเพลีย

• ลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบ

• ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน

•สร้างภูมิคุ้มกัน โรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ

• ขับกรดจากข้อต่อต่างๆ ทำให้อาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว

• ขับสารพิษออกจากร่างกาย สารตกค้างของยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้างในอาหาร ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี สุขภาพแข็งแรง สดชื่นขึ้น

• เพิ่มประสิทธิภาพเม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้ระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น

• ป้องกันการเจริญเติมโตของเซลล์มะเร็ง

• ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย, การใช้รักษาแผลอักเสบ, แผลเปื่อย, แผลเรื้อรัง, แผลถลอก, แผลไฟไหม้, เหงือกอักเสบ, แผลในปาก

• บรรเทาอาการปวดศีรษะทั่วไป และปวดศีรษะไมเกรนได้

• ช่วยให้ผู้ที่เป็นต้อกระจกมองเห็นได้ดีขึ้น

• มีสารอาหารบำรุงเส้นผม ทำให้ผมหงอกดำขึ้น ช่วยลดอาการผมร่วง


การทำน้ำย่านาง ล้างใบย่านางให้สะอาด

เด็ด ใช้ใบย่านาง 1-5 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
ผู้ใหญ่ ใช้ใบย่านาง 10-20 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว


ใบย่านาง



ใบย่านางสดโขลกให้ละเอียดแล้วเติมน้ำหรือ ขยี้ใบย่านางกับน้ำหรือ ปั่นในเครื่องปั่นไฟฟ้า การปั่นจะทำให้ประสิทธิภาพลดลงบ้าง เนื่องจากความร้อนจะไปทำลายความเย็นของใบย่านาง


ขยี้ใบย่านางกับน้ำแล้วกรองด้วยกระชอน


ดื่มครั้งละ 1/2 - 1 แก้ว วันละ 2-3 เวลาก่อนอาหารหรือตอนท้องว่าง 
ทิ้งไว้เกิน 4 ชั่วโมง มักจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ไม่เหมาะที่จะดื่ม


บรรจุขวดแช่ในตู้เย็น ควรดื่มให้หมดภายใน 3-7 วัน 
โดยให้สังเกตุกลิ่นเปรี้ยวเป็นหลักห้ามนำมาดื่ม

ใบย่านาง สมุนไพรเย็น คลอโรฟิลล์จากธรรมชาติ


          ใบย่านาง สรรพคุณนั้นมีหลากหลาย เพราะเป็นสมุนไพรเย็น มีคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ และยังมีวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายอีกมากมาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทีน ในปริมาณค่อนข้างสูง โดยเป็นสมุนไพรที่ใครหลายๆคนต่างก็คุ้นเคยกันดี เพราะนิยมนำมาเป็นเครื่องปรุงรสช่วยเพิ่มความกลมกล่อมของอาหาร เช่น แกงหน่อไม้ ซุปหน่อไม้ แกงเลียง แกงหวาน เป็นต้น

          สรรพคุณใบย่านาง
1. ใบย่านาง ในตำราสมุนไพรจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะ 
2. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก จึงช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วและความแก่ชราอย่างได้ผล 
3. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านโรคในร่างกายให้แข็งแรง 
4. ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย 
5. ช่วยฟื้นฟูเซลล์ต่างๆในร่างกาย 
6. ช่วยในการปรับสมดุลของร่างกาย 
7. เป็นสมุนไพรที่ช่วยในการลดความอ้วนได้อย่างเห็นผลและปลอดภัย 
8. ช่วยในการเผาผลาญไขมันและนำไปใช้เป็นพลังงาน 
9. ช่วยป้องกันและลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ 
10. เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็นเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งอย่างมาก 
11.หากดื่มน้ำใบย่านางเป็นประจำ ก้อนมะเร็งจะฝ่อและเล็กลง 
12.ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง 
13.ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ 
14.ช่วยในการบำรุงรักษาตับ และไต 
15.ช่วยรักษาและบำบัดอาการอัมพฤกษ์ 
16.ช่วยแก้อาการอ่อนล้า อ่อนเพลียของร่างกาย  
17.ช่วยรักษาอาการเกร็ง ชัก หรือเป็นตะคริวบ่อยๆ 
18.ช่วยแก้อาการเจ็บเหมือนมีไฟช็อตหรือมีเข็มแทงหรือมีอาการร้อนเหมือนไฟ 
19.ช่วยป้องกันไม่ให้เส้นเลือดฝอยในร่างกายแตกใต้ผิวหนังได้ง่าย 
20.ช่วยรักษาอาการตกกระที่ผิวเป็นจ้ำๆสีน้ำตาลตามร่างกาย 
21.ช่วยรักษาเนื้องอก 
22.ช่วยรักษาอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม คลื่นไส้ อาเจียนได้ 
23.ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ ไอจาม มีน้ำมูกและเสมหะ 
24.รากแห้งใช้ในการแก้ไข้ทุกชนิด และลดความร้อนในร่างกาย 
25.รากของย่านางสามารถแก้ไข้ได้ทุกชนิด ทั้ง ไข้พิษ ไข้หัด ไข้เหนือ ไข้ผิดสำแดง เป็นต้น 
26.เถาย่านางมีส่วนช่วยในการลดความร้อนและแก้พิษตานซาง 
27.มีส่วนช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อมาลาเรีย 
28.ช่วยรักษาอาการร้อนแต่ไม่มีเหงื่อ 
29.ช่วยรักษาอาการของโรคเบาหวาน ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง 
30.มีส่วนช่วยช่วยอาการปวดตึง ปวดตามกล้ามเนื้อ ปวดชาบริเวณต่างๆ 
31.ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้ 
32.รากของย่านางช่วยแก้อาการเบื่อเมา 
33.ช่วยแก้อาการเหงือกอักเสบอย่างรุนแรงและเรื้อรัง 
34.ช่วยแก้อาการง่วงนอนหลังการรับประทานอาหาร 
35.ช่วยแก้อาการเลือดกำเดาไหล 
36.ช่วยในการบำรุงสายตาและรักษาโรคเกี่ยวกับตา เช่น ตาแดง ตาแห้ง ตามัว แสบตา ปวดตา ตาลาย เป็นต้น 
37.ช่วยรักษาอาการปากคอแห้ง ริมฝีปากแตกหรือลอกเป็นขุย 
38.ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเสมหะเหนียวข้น ขาวขุ่น มีสีเหลืองหรือเขียว หรืออาการเสมหะพันคอ 
39.ช่วยบำบัดอาการของโรคไซนัสอักเสบ 
40.ช่วยลดอาการนอนกรน 
41.ช่วยแก้อาการเจ็บปลายลิ้น 
42.ช่วยป้องกันและบำบัดรักษาโรคหัวใจ 
43.ช่วยป้องกันและรักษาโรคหอบหืด 
44.ช่วยรักษาโรคตับอักเสบ 
45.ช่วยรักษาอาการท้องเสีย เพราะช่วยฆ่าเชื้อโรคที่เป็นต้นเหตุได้ 
46.ช่วยบรรเทาอาการอาการปวดท้องอย่างเฉียบพลัน 
47.ช่วยแก้อาการท้องผูก ลดอาการแสบท้อง 
48.ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ 
49.ช่วยลดอาการหดเกร็งตามลำไส้ 
50.ช่วยรักษาอาการกรดไหลย้อน 
51.ช่วยรักษาไทรอยด์เป็นพิษ 
52.ช่วยรักษาโรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี 
53.ช่วยรักษาอาการปัสสาวะแสบขัด ออกร้อนในทางเดินปัสสาวะ 
54.ช่วยแก้อาการปัสสาวะมีสีเข้ม ปัสสาวะบ่อย หรือมีอาการปัสสาวะออกมาเป็นเลือด 
55.ช่วยรักษาอาการมดลูกโต อาการปวดมดลูก ตกเลือดได้ 
56.ช่วยบำบัดรักษาโรคต่อมลูกหมากโต 
57.ช่วยป้องกันโรคไส้เลื่อน 
58.ช่วยในการรักษาโรคเริม งูสวัด 
59.ช่วยป้องกันการเกิดโรคริดสีดวงทวาร 
60.ช่วยรักษาอาการตกขาว 
61.ช่วยป้องกันการเกิดโรคเกาต์ 
62.ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย 
63.ช่วยรักษาอาการผิวหนังมีความผิดปกติคล้ายรอยไหม้ 
64.น้ำย่านางเมื่อนำมาผสมกับดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากผสมจนเหลว สามารถนำมาทา สิว ฝ้า ตุ่มคัน ตุ่มใส ผื่นคัน พอกฝีหนองได้อีกด้วย 
65.ช่วยป้องกันและรักษาอาการส้นเท้าแตก เจ็บส้นเท้า 
66.ช่วยรักษาอาการเล็บมือเล็บเท้าผุ โดยรักษาอาการเล็บมือเล็บเท้าขวางสั้น ผุ ฉีกง่าย หรือในเล็บมีสีน้ำตาลดำคล้ำ อาการอักเสบที่โคนเล็บ 
67.สำหรับประโยชน์ของใบย่านางด้านอื่นๆ เช่น การนำแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ยกตัวอย่าง ใบย่านางแคปซูล สบู่ใบย่านาง แชมพูใบย่านาง เครื่องดื่มสมุนไพร เป็นต้น 
68.แชมพูสระผมจากใบย่านาง ช่วยให้ผมดำ ชะลอการเกิดผมหงอก 
                 จบแล้วสรรพคุณของใบย่านาง

ขอบคุณข้อมูลจาก : frynn.com

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557

น้ำใบเตยหอม


สมุนไพรใบเตย ที่มีสรรพคุณในการบำรุงหัวใจ แก้เบาหวาน ขับปัสสาวะ 
ซึ่งทำให้ความดันโลหิตสูงลดลงได้ ที่สำคัญสามารถหาได้ง่ายๆในทุกที่ 

น้ำใบเตยหอม

ส่วนผสม
   1. ใบเตยสด 3 ถ้วย
   2. น้ำสะอาด 8 ถ้วย
   3. น้ำตาลทราย 2 ถ้วย(สามารถลดปริมาณของน้ำตาลลงได้)
   4. น้ำแข็ง

วิธีทำ
   ใบเตยสดที่ไม่แก่มากเก็บใหม่ๆ ล้างทีละใบให้สะอาด แช่น้ำด่างทับทิมหรือน้ำเกลือ 10-15 นาที 
นำมาหันตามขวางเป็นชิ้นเล็กๆ แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งใส่ลงในหม้อต้มที่มีน้ำกำลังเดือด 
ต้มเคี่ยว 5-10 นาที เติมน้ำตาลทรายให้รสหวานจัด กรองเอากากออก ใบเตยที่หั่นแล้วส่วนที่สอง
ปั่นให้ละเอียด โดยเติมน้ำ กรองเอากากออก เติมน้ำที่คั้นได้ซึ่งมีสีเขียวและกลิ่นหอมลงในหม้อที่
เติมน้ำตาลและกำลังเดือด ชิมให้มีรสหวาน พอเดือดรีบยกลง เมื่อดื่มใส่น้ำแข็งบดละเอียด

คุณค่าทางโภชนาการ
    ใบเตยสดมีน้ำมันหอมระเหย รสหวาน หอม มัน และมีสีเขียวที่นิยมใช้แต่งสีอาหาร 
เป็นสารคลอโรฟิลล์

สรรพคุณ
  ใบสด : ต้มกับน้ำดื่ม ลดอาการกระหายน้ำ ทำให้ชุ่มชื่น บำรุงหัวใจ 
  ต้นและราก : เป็นยาขับปัสสาวะ รักษาโรคเบาหวาน และแก้กษัยน้ำเบาพิการ

แปะก๊วย...ยิ่งกิน ยิ่งดี อายุวัฒนะ


แปะก๊วย...ยิ่งกิน ยิ่งดี อายุวัฒนะ 

แปะก๊วยผลเหลืองๆ รีๆ ที่เรารู้จักกันดีนี้ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ginkgo flavoneglycosidesเป็นพืชสมุนไพรที่มีต้นกำเนิดจากทางตะวันออกของจีน มีชีวิตอยู่ตั้งแต่เมื่อ 270 ล้านปีก่อนสมัยเดียวกับไดโนเสาร์ แปะก๊วยจึงเป็นอาหารของไดโนเสาร์ชนิดกินพืช...ชื่อแปะก๊วยตามภาษาจีนหมายถึง "ลูกไม้สีเงิน"ในภาษาอังกฤษจะเรียกว่าGinkgo นอกจากนี้ยังมีชื่ออื่น ๆ เช่นต้นไม้แห่งความหวัง แพนด้าแห่งอาณาจักรพืช และต้นไม้อิสรภาพ

แปะก๊วย เป็นพืชสมุนไพรจากธรรมชาติ มีสรรพคุณในการรักษาโรคได้อย่างน่าอัศจรรย์ชาวจีนเชื่อว่าแปะก๊วยเป็นยาอายุวัฒนะ ซึ่งแปะก๊วยที่พบเห็นในบ้านเราส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะอบแห้ง มีเปลือกหุ้ม ก่อนจะนำมาประกอบอาหารต้องแกะเปลือกออก ซึ่งเนื้อในแปะก๊วย จะมีสีเหลือง มีเยื้อเปลือกห่อหุ้มอีกทีเป็นสีส้มน้ำตาล แต่จริงๆ แล้ว สารที่ดีต่อสุขภาพในแปะก๊วยนั้น ส่วนใหญ่จะพบในใบมากกว่าผลเสียอีก

ใบแปะก๊วย เมื่อนำมาสกัดจะได้สารสำคัญ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มฟลาโวน มีฤทธิ์ต้านการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง ส่วนอีกสองกลุ่มเป็นน้ำมันจากใบแปะก๊วย คือ Bilobalidesและ Ginkgolidesซึ่งช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมโดยเป็นตัวช่วยเสริมสร้างการส่งสัญญาณในระบบสมอง เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตไปสู่สมอง ปลายมือปลายเท้า ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เพราะเมื่อสมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง สมองย่อมเสื่อมสมรรถภาพและฝ่อไปในที่สุด ทำให้เกิดการหลงลืมในผู้สูงอายุหรือโรคความจำเสื่อม ที่เรียกว่า อัลไซเมอร์นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันการเกิดแผลเรื้อรังในคนที่เป็นโรคเบาหวาน และออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในบริเวณตา ช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานขึ้นตาได้

ปัจจุบันมีการนำใบแปะก๊วยมาสกัดเป็นอาหารเสริมจำนวนมากเพื่อช่วยบำรุงสมองช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี และยังใช้รักษาโรคความจำเสื่อมโรคซึมเศร้า อาการหลงๆ ลืมๆ อันเนื่องมาจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอในผู้ป่วยสูงอายุ หลายประเทศให้การยอมรับสรรพคุณของใบแปะก๊วยในการรักษาโรคสมองเสื่อมทั้งยังมีการนำสารสกัดจากใบแปะก๊วยมารวมกับสารอื่นๆ เพื่อช่วยให้การดูดซับที่ผนังลำไส้เล็กทำงานดีขึ้น ทำให้ร่างกายนำสารสกัดจากใบแปะก๊วยไปใช้ประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น

ผลแปะก๊วยที่ใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารจีนประกอบด้วยไขมัน แป้ง โปรตีน และน้ำตาล มีรสหวานอมขมอมฝาด มีสรรพคุณช่วยบำรุงสมอง ช่วยให้เลือดลมหมุนเวียนได้สะดวก ช่วยบำรุงปอด แก้ไอ แก้หอบ ขับเสมหะ ลดปัสสาวะ ฆ่าเชื้อโรค บำบัดอาการวิงเวียนศีรษะ หูอื้อ หลอดลมอักเสบ ตกขาว หนองใน แปะก๊วยสด ช่วยลดเสมหะ แก้พิษ ฆ่าพยาธิ ถ้านำมาโขลกทาบนใบหน้าและมือ ช่วยขจัดรอยเหี่ยวย่น รักษาอาการหืดได้อีกด้วย

ด้วยคุณสมบัติมหัศจรรย์ ใบแปะก๊วยจึงถูกนำมาใช้เป็นเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยโตเกียวประเทศญี่ปุ่นแสดงถึงความคงทน ไม่เปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับต้นแปะก๊วยที่ทนต่อสภาพแวดล้อมตั้งแต่โบราณถึงปัจจุบัน และยังมีความหมายในการช่วยปกป้องคุ้มภัย จากเหตุการณ์ที่แปะก๊วยได้ช่วยปกป้องวัดอันศักด์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เคารพของชาวญี่ปุ่น ให้รอดพ้นจากอัคคีภัยและแผ่นดินไหวอีกด้วย สำหรับในจีนแปะก๊วยใช้แทนตัวขงจื๊อ ผู้เป็นปราชญ์ใต้ต้นแปะก๊วย

แปะก๊วย ดูจะเป็นพืชสมุนไพรมหัศจรรย์ ที่มีสรรพคุณครอบจักรวาล แถมยังอร่อยเลิศ...เครียดๆ เหนื่อยๆแปะก๊วยสักหน่อย รับรองผ่อนคลายได้ดี หรือจะหาใบแปะก๊วยมารับประทานก็ได้ เลือกได้ตามชอบเลย...


ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org, www.doctor.or.th
ภาพประกอบจาก  www.oknation.net

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557

น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ



น้ำกล้วย - กล้วย เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินเอ ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ซึ่งล้วนแต่เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท ช่วยควบคุมความดันโลหิต เพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มความแข็งแรงสมบูรณ์ให้แก่ร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ


 น้ำกีวี่ – กีวี่อุดมไปด้วยวิตามินซี, คลอโรฟิลล์, ไฟโตเคมิคอล (Phytochemical), และแอคทินิดิน ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้หัวใจมีสุขภาพดี และช่วยลดความดันโลหิต น้ำเกรปฟรุต – น้ำผลไม้รสเปรี้ยวที่มีคุณสมบุติช่วยเผาผลาญไขมันและช่วยลดระดับอินซูลินซึ่งเป็นตัวการของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น การดื่มน้ำเกรปฟรุตคั้นสดก่อนมื้ออาหารทุกมือ จะช่วยทำให้น้ำหนักตัวลดลงมากกว่า 1.5 กิโลกรัม ภายใน 3 เดือน โดยที่ไม่ต้องลดอาหารหรือไดเอ็ทเลย

 

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

น้ําผลไม้เพื่อสุขภาพ


น้ําผลไม้เพื่อสุขภาพ คือ ของเหลวที่อยู่ในเนื้อเยื่อของผลไม้ตามธรรมชาติ น้ำผลไม้จะได้มาจากการนำผลไม้ไปคั้นหรือปั่นผลไม้เหล่านั้นโดยไม่ใช้ความร้อนหรือตัวทำละลาย ซึ่งน้ำผลไม้สำเร็จรูปที่วางขายหลายยี่ห้อจะถูกกรองเอากากใยอาหารออก แต่น้ำผลไม้ที่มีเนื้อก็ยังคงเป็นเครื่องดื่มที่นิยม โดยอาจขายในรูปแบบเข้มข้น ซึ่งจำเป็นต้องเติมน้ำเพื่อลดความเข้มข้นจนกระทั้งอยู่ในสถานะปกติ โดยน้ำผลไม้แบบเข้มข้นมักจะมีรสชาติที่ต่างจากน้ำผลไม้คั้นสดอย่างชัดเจน
 
 


น้ำแตงกวา 
น้ำแตงกวานั้นมีส่วนประกอบที่สำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพ มากกว่ากว่าเพียงแค่การนำมันไปหั่นเป็นชิ้นบางๆ หรือปั่นให้เละเพื่อนำไปใช้ในพอกหน้าฟื้นฟูความเหนื่อยล้าของผิวเท่านั้น

1.รักษากระดูกให้แข็งแรง ในน้ำแตงกวาจะมีส่วนประกอบของวิตามินเค ซึ่งจะช่วยเสริมการพัฒนาของเนื้อเยื่อกระดูกให้แข็งแรง รักษาสุขภาพไตให้แข็งแรง และมีบทบาทสำคัญในการช่วยทำให้เลือดแข็งตัว

2.เพิ่มความต้านทานโรคมะเร็ง น้ำแตงกวาสามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็งในอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศหญิง มะเร็งในต่อมต่างๆ เป็นต้น น้ำแตงกวาจะช่วยยับยั้งไม่ให้เซลล์มะเร็งเหล่านั้นเกิดการขยายตัวมากขึ้นกว่าเดิม

3. ช่วยลดกรด น้ำแตงกวามีคุณสมบัติเป็นด่าง ซึ่งสามารถช่วยลดกรดที่เกิดขึ้นภายในเลือดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยในการรักษาแผลในกระเพาะอาหาร และลำไส้อีกด้วย

4.บำรุงร่างกาย แตงกวามีปริมาณน้ำสูงถึงร้อยละ 95 ทำให้สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับร่างกาย กระตุ้นการย่อยอาหาร และยังมีคุณสมบัติช่วยในการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี

5.ช่วยต่อสู้กับคอลเลสเตอรอลและโรคเบาหวาน น้ำแตงกวาสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีในร่างกายให้น้อยลง และยังช่วยกระตุ้นให้ตับอ่อนสร้างอินซูลิน จึงสามารถช่วยทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถรักษาระดับเลือดเอาไว้ได้ในปริมาณที่เหมาะสม
6.ลดอาการปวดข้อ แตงกวาอุดมไปด้วยสารซิลิก้า ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยทำให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพันมีความแข็งแกร่ง นอกจากนี้น้ำแตงกวายังอุดมไปด้วยวิตามิน A B1 B6 C และ D รวมไปถึง โฟเลตแมกนีเซียม โพแทสเซียม เมื่อนำน้ำแตงกวาไปผสมกับน้ำแครอท จะมีสรรพคุณในการช่วยบรรเทาอาการโรคเกาด์ และลดอาการปวกข้ออักเสบลง

7.สมานผิวไหม้จากแดด การดื่มน้ำแตงกวา ช่วยรักษาสมานผิวที่ไหม้จากแสงแดดที่ร้อนระอุในตอนกลางวันได้เป็นอย่างดี

8.เพิ่มภูมิคุ้มกัน ในแตงกวามีส่วนผสมของทองแดงที่ช่วยบำรุงการสื่อสารของระบบประสาท และยังช่วยในการพัฒนาเซลล์เม็ดเลือดแดง รวมไปถึงการเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

9.เสริมความแข็งแกร่งให้กับกระดูกและฟัน ถ้าหากคุณเป็นมังสวิรัติ น้ำแตงกวาสามารถเป็นตัวแทนของนมที่จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นให้กับกระดูกและฟันให้มากขึ้น

10.ช่วยส่งเสริมให้ผิวสวยอย่างสมบูรณ์แบบ ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามหลายคนแนะนำให้ดื่มน้ำแตงกวา เพื่อช่วยในการชำระล้างสิวออกจากผิว เนื่องจากแตงกวามีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถช่วยลดอาการอักเสบของผิวและสิวให้น้อยลงได้

น้ำมะเขือเทศ
มะเขือเทศมีเบต้าแคโรทีนสูงมาก จึงช่วยบำรุงสายตา ต่อต้านมะเร็ง (โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก)
มีวิตามินซีสูง ที่่่ช่วยเสริมภูมิต้านทางให้กับร่างกาย ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ผ่องใส ทำให้ผิวไม่เหี่ยวย่น ช่วยในการย่อยอาหาร ฟอกเลือด ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ ทำให้สดชื่น เป็นยาดับร้อนถอนพิษ แก้แผลร้อนในช่องปาก ทำให้เลือดเย็น นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี1 ซึ่งเป็นอาหารที่สำคัญในต่อพัฒนาการทางสมอง และยังพบไลโคปีนที่อุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ดี ในปัจจุบันพบว่ามะเขือเทศมีฤทธิ์ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง และยังเป็นอาหารของผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดันโลหิต และโรคตับอักเสบ เพราะการรับประทานเป็นประจำจะช่วยลดอาการของโรคดังกล่าวได้


น้ำแครอท
น้ำแครอทเป็นน้ำผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยแคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียม รวมไปถึงแคโรทีนที่สามารุเปลี่ยนวิตามินเอภายในร่างกายและช่วยดูดซึมไปใช้ได้ทันที และน้ำแครอทยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยป้องกันและต่อต้านโรคมะเร็งได้

ขอบคุณข้อมูลจาก ฟรินน์ดอทคอมและkondoodee.com

ธรรมชาติบำบัด ด้วยน้ำผักและผลไม้

 


     การรักษาโดยไม่ใช้ยา หรือที่เรียกว่า “ธรรมชาติบำบัด” ในปัจจุบันได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการดื่มน้ำผักผลไม้สดที่กลายเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการธรรมชาติบำบัด ไม่ว่าจะเพื่อการรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย โรคที่รักษายาก หรือโรคเรื้อรัง น้ำผักผลไม้สดก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยทำให้มีสุขภาพดีเท่านั้น แต่ยังช่วยทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นอีกด้วย เนื่องจากน้ำผักผลไม้อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ในการบำรุงสุขภาพ และช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ วิธีการทำน้ำผักผลไม้ คือ การทำให้น้ำและกากแยกออกจากกัน ซึ่งเราเรียกว่าการคั้น ประโยชน์ที่ได้จากการคั้นก็คือ กากในผกผลไม้ที่ย่อยไม่ได้จะถูกแยกออกไป เหลือเพียงแต่น้ำที่มีแต่สารอาหารล้วนๆ จึงมีความเข้มข้นกว่าการรับประทานสดด้วยวิธีปกติ เช่น เมื่อเรารับประทานแครอทแบบสดๆ ร่างกายของเราจะดูดซึมเบต้าแคโรทีนได้เพียง 1% ส่วนที่เหลืออีก 99% จะจับอยู่กับกากใย แต่ถ้าเป็นการคั้นน้ำแครอท กากใยเหล่านั้นจะถูกแยกออกไป คุณจึงได้รับเบต้าแคโรทีนเกือบ 100% คุณจึงมั่นใจได้ว่าการคั้นน้ำผักผลไม้ดื่มทุกวัน ร่างกายของคุณจะได้รับวิตามิน เกลือแร่ และเอนไซม์เต็มๆ

 
ประโยชน์น้ำผักผลไม้ น้ำผักผลไม้เป็นน้ำดื่มที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด การดื่มน้ำผักผลไม้เป็นประจำจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงมีอายุยืนยาว เพราะช่วยบำรุงสุขภาพและช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ผักผลไม้แต่ละชนิดล้วนมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นตัวช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งรวมไปถึงโรคมะเร็งต่างๆ ด้วย ช่วยป้องกันและชะลอความเสื่อมของอวัยภายในร่างกายต่างๆ การดื่มน้ำผักผลไม้สามารถช่วยพัฒนาสมอง เสริมสร้างความจำ และเป็นอาหารของสมองได้เป็นอย่างดี ช่วยบำรุงและรักษาสายตาได้ เพราะผักผลไม้บางชนิดจะมีวิตามินเอสูง เช่น แครอท ผักบุ้ง ตำลึง ฟักทอง มะละกอ มะม่วงสุก เป็นต้น ผักผลไม้บางชนิดยังมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพรที่ช่วยบำบัดและรักษาโรคบางชนิดได้เป็นอย่างดี การดื่มน้ำผักผลไม้เป็นประจำจะช่วยทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดใสได้ เพราะผักผลไม้หลายชนิดจะอุดมไปด้วยวิตามินซีและวิตามินอี ซึ่งเป็นอาหารผิวที่มีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวดูมีสุขภาพดีและเรียบเนียน คำแนะนำในการดื่มน้ำผักผลไม้ น้ำผักผลไม้เป็นเพียงอาหารเสริมสำหรับผักผลไม้สดมากกว่าที่จะเป็นอาหารหลักแทนที่ผักผลไม้สดทั้งหมด เพื่อประโยชน์สูงสุดในการบริโภค ควรดื่มน้ำผลไม้ไม่เกิน 1 แก้วต่อวัน (ประมาณ 4-8 ออนซ์) และให้คั้นดื่มโดยไม่ต้องเพิ่มความหวานใดๆ อีก เนื่องจากในผลไม้จะมีน้ำตาลธรรมชาติอยู่แล้ว อีกทั้งยังให้แคลอรี่เพียง 60-80 แคลอรี่เท่านั้น น้ำผลไม้คั้นสดควรเป็นสิ่งแรกที่เข้าสู่ร่างกายในตอนเช้า เพราะน้ำผลไม้จะช่วยทำความสะอาดระบบต่างๆ ภายในร่างกาย รวมถึงการอุ่นเครื่อง ทำให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว กระฉับกระเฉงมากยิ่งขึ้น เพราะร่างกายสามารถดูดซึมคุณค่าจากผลไม้สดได้ง่าย ดังนั้นควรดื่มก่อนกินมื้อเช้าประมาณ 10 นาที หรือหากดื่มหลังมื้ออาหารในแต่ละวัน โดยค่อยๆ จิบน้ำผลไม้และกลั้วไปรอบๆ ปาก เพื่อเพิ่มเอนไซม์ในอาหารช่วยทำให้กระเพาะอาหารย่อยได้ดีขึ้น การดื่มน้ำผลไม้คั้นสดเป็นประจำจะช่วยถนอมสุขภาพสมองให้แข็งแรง ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์ ควรเลือกรับประทานน้ำผักผลไม้อย่างหลากหลาย หรือรับประทานให้ครบทั้ง 5 สี เนื่องจากผักผลไม้แต่ละสีแต่ละชนิดจะมีประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป ก่อนนำผักหรือผลไม้มาคั้นเป็นน้ำ ควรนำมาล้างให้สะอาดเสียก่อน โดยส้ม ฝรั่ง แครอท องุ่น ผักคะน้า มีสารเคมีสูงอยู่ในระดับต้นๆ (ส่วนน้ำผลไม้อย่างส้มที่ผลิตในโรงงาน กระบวนการผลิตจะไม่มีการปอกเปลือก แต่จะคั้นกันทั้งเปลือก ทำให้สารเคมีเหล่านี้อาจตกค้างในน้ำผลไม้ที่เราดื่มได้ ส่วนน้ำส้มคั้นที่ขายสดๆ ก็ตามท้องตลาดก็ควรจะระวังด้วย เพราะนอกจากจะมีสารเคมีพวกยาฆ่าแมลงตกค้างที่เปลือกส้มแล้ว ตัวเครื่องที่ใช้คั้นเองก็เป็นตัวสะสมแบคทีเรียได้เป็นอย่าง เพราะเมืองไทยมีอากาศร้อน ทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้เร็ว) อ่านบทความเรื่องการล้างผักได้ที่ 16 วิธีการล้างผักผลไม้ให้สะอาด ในการปั่นน้ำผักรับประทานเองในครัวเรือน มีคำแนะนำว่า ควรเลือกปั่นผักโดยใช้เครื่องปั่นในระดับความเร็วที่ไม่มากจนเกินไป เพราะการปั่นผักด้วยความเร็วสูงๆ จะทำให้เกิดการสูญสลายของแร่ธาตุและสารอาหารบางอย่างได้ ผักผลไม้บางชนิดอาจมีสารหรือแร่ธาตุบางชนิดในปริมาณมาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดโทษกับผู้ป่วยเรื้อรังบางโรคได้ เช่น ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักผลไม้ที่มีกรดออกซาลิกสูง (Oxalic acid) เช่น ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำใบชะพลู และน้ำแครอท เป็นต้น น้ำผักผลไม้ที่ได้รับความนิยมสูงโดยมากจะมีส่วนผสมของมะเขือเทศและโซเดียมในปริมาณมาก ผู้บริโภคจึงควรระมัดระวังในการเลือกบริโภค อีกทั้งผักผลไม้บางชนิดจะมีน้ำตาลสูง จึงควรไตร่ตรองอย่างระมัดระวังก่อนจะบริโภค เรียบเรียงข้อมูลโดย ฟรินน์ดอทคอม

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

กระเจี๊ยบ


กระเจี๊ยบ

กระเจี๊ยบมีถิ่นกำเนิดในทวีปอัฟริกา เดิมนั้นชาวท้องถิ่นปลูกกระเจี๊ยบเพื่อนำเมล็ดมาทำน้ำมันปรุงอาหาร ต่อมาจึงมีการบริโภค ยอดอ่อน ใบและกลีบเลี้ยง กลุ่มพันธุ์ที่ใช้เป็นผักนี้ถูกนำไปปลูกในทวีปอเมริกาและประเทศอินเดีย ราว 400 ปีที่ผ่านมา กระเจี๊ยบมีลักษณะต่างๆโดยเฉพาะดอกคล้ายชบา และฝ้าย จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับพืชทั้งสอง

ส่วนที่นำมาทำน้ำกระเจี๊ยบคือกลีบเลี้ยงและริ้วประดับอวบน้ำ ซึ่งเก็บเมื่อผลติดเมล็ดแล้ว หากนำกลีบเลี้ยงไปทำแห้ง แล้วนำมาชงกับน้ำร้อน ก็จะได้ชากระเจี๊ยบ ใบกระเจี๊ยบกินสดเป็นผัก สำหรับเมล็ดกระเจี๊ยบนั้นมีน้ำมันถึง 17-20% และมีคุณสมบัติคล้ายน้ำมันเมล็ดฝ้าย

กระเจี๊ยบเป็นไม้ล้มลุกอายุหนึ่งปี สูง 1-2 เมตร ลำต้นสีม่วงแดง ใบเดี่ยว ดอกเดี่ยว กลีบดอกสีชมพูหรือเหลืองบริเวณกลางดอกสีม่วงแดง เกสรตัวผู้เชื่อมกันเป็นหลอด ผลแห้ง แตกได้ มีกลีบเลี้ยงสีแดงฉ่ำน้ำหุ้มไว้

ในตำรายาไทยมีการใช้ใบและยอดอ่อนเพื่อแก้ไอ เมล็ดกระเจี๊ยบช่วยบำรุงธาตุและขับปัสสาวะ ผลการทดลองคลีนิกพบว่าน้ำกระเจี๊ยบมีฤทธิ์ขับปัสสาวะดี

สีแดงในน้ำกระเจี๊ยบคือ แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) เช่นเดียวกับที่พบในบลูเบอร์รี่ มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเกิดมะเร็งและช่วยเสริมให้สุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ต่อต้านเชื้อโรคได้ดี เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และเสริมการทำงานของเม็ดเลือดแดงได้ดีขึ้น กลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบแดงยังมี เพคติน (Pectin) สูง จึงสามารถใช้ทำแยมได้

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

อัญชัน

อัญชัน


อัญชันเป็นชื่อ ของพันธุ์ไม้เถาชนิดหนึ่ง ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Clitoria ternatea Linn. อยู่ในวงศ์ Papilionaceae ซึ่งเป็นวงศ์ ของถั่วประเภท pea ทั้งหลาย เช่น ถั่วลันเตา (sweet pea) มี ลักษณะเป็นไม้เถาเลื้อยมีมือสำหรับเกาะ (tendril) สามารถเลื้อย ไปตามต้นไม้ รั้ว หรือซุ้มต่างๆ ได้ดี ใบเป็นชนิดใบรวม บนก้านใบแต่ละก้านมีใบย่อย ระหว่าง ๕-๙ ใบ ดอกคล้ายดอกถั่วทั่วไป (เช่น ถั่วลันเตา ถั่วพู ถั่วฝักยาว) หากเป็นดอกชั้นเดียว กลีบใหญ่ มีลักษณะคล้ายเปลือกหอยเชลล์ (shell) แต่อัญชันต่างจากถั่วอื่นๆ ที่มีดอกซ้อนด้วย ดอกอัญชันซ้อน จะมีหลายกลีบ และดอกใหญ่กว่า ดอกชั้นเดียว 
ดอกอัญชันมี ๓ สี คือ สี ขาว สีน้ำเงิน และสีม่วง พันธุ์ดอก สีม่วงนั้นบางตำราว่าเกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างพันธุ์ดอกสีขาวกับพันธุ์ดอก สีน้ำเงิน ซึ่งผู้เขียนไม่แน่ใจว่าถูกต้อง เพราะเคยเห็นอัญชันดอกขาวบางต้น มีกลีบสีขาวลายน้ำเงิน แสดงว่าเป็นพันธุ์ผสมระหว่างดอกขาวกับดอกน้ำเงิน แต่ข่มกันไม่ลงจึงแสดงออกมาทั้ง ๒ สี ไม่กลายเป็นสีม่วงอย่างที่บอกในบางตำรา 

อัญชันที่พบในประเทศไทย มีทั้งพันธุ์บ้านที่ผ่านการคัดเลือกให้ดอกใหญ่ ดก สีเข้ม เป็นต้น กับ พันธุ์ที่ขึ้นเองตามที่รกร้างว่างเปล่า ซึ่งเป็นพันธุ์ดอกชั้นเดียว ดอกเล็ก และสีไม่เข้ม คนไทยส่วนใหญ่ นิยมปลูกอัญชันดอกสีน้ำเงินเข้ม กลีบดอกซ้อน ดอกขนาดใหญ่และ ดก เพราะนอกจากสวยงามแล้ว ยังนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง อีกด้วย 

ถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของ อัญชันนั้น บางตำราบอกว่าอยู่ที่ประเทศอินเดีย แต่บางตำราว่าอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ แล้วจึงแพร่มาถึงอินเดีย ส่วนประเทศไทยคงรับมาจากประเทศอินเดียอีกทีหนึ่ง และคงจะรับ มานานแล้ว เพราะพบในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ ของหมอปรัดเล พ.ศ.๒๔๑๖ กล่าวถึงอัญชันว่า"อัญชัน : เปนชื่อเครือเถาวัลอย่างหนึ่ง มันมีดอกเขียวบ้าง ขาวบ้าง ไม่มีกลิ่น" 

อัญชัน เป็นพืชล้มลุก ตามธรรมชาติจะงอกจากเมล็ดในฤดูฝน ออกดอกเป็นช่อ ช่อละ ๒-๔ ดอก เมื่อดอกผสมเกสรเกิดฝักแบนยาว ประมาณ ๕ เซนติเมตร มีเมล็ดอยู่เป็นข้อๆ ชอบขึ้นกลางแจ้งที่ได้ รับแดดเต็มที่ ปกติอัญชันจะเลื้อย ได้ยาวประมาณ ๗ เมตร เมื่อถึง ฤดูแล้งจะแห้งตายไป แต่หากมีน้ำ พอเพียงและดูแลอย่างเหมาะสม ก็สามารถปลูกและได้ดอกอัญชันตลอดปี 

อัญชัน มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษ ว่า Butterfly pea หรือ Shell creeper ในภาษาไทยเรียกว่า อัญชัน อัญชันบ้าน อังชัน อัญชันเขียว (ภาคกลาง) เอื้องจัน แดงจัน อังจัน (ภาคเหนือ) 

ประโยชน์ของอัญชัน 
แพทย์แผนไทยใช้อัญชันเป็นยารักษาโรคมาแต่โบราณ เช่น 
ราก : รสเย็นจืด บำรุงดวงตา ทำให้ตาสว่าง ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ แก้ปวดฟัน ทำ ให้ฟันทน 
น้ำคั้นจากใบสดและดอกสด : ใช้หยอดตา แก้ตาอักเสบ ฝ้าฟาง ตาแฉะ มืดมัว 
น้ำคั้นจากดอก : ใช้ทาคิ้ว ทาหัว เป็นยาปลูกผม (ขน) ทำให้ ผมดกดำเงางาม 
สี จากดอกอัญชัน ใช้ทำประโยชน์ได้หลายอย่าง นิยมใช้ดอกสีน้ำเงินซึ่งมีสาร Anthocyanin ใช้ ทำสีขนม เช่น ขนมดอกอัญชัน ขนมช่อม่วง ทำน้ำดื่มสมุนไพร ได้ น้ำสีม่วงสวย เพราะสีของดอกอัญชันละลายน้ำได้ รวมทั้งสีเปลี่ยน ไปตามความเป็นกรดด่าง คล้าย กระดาษลิตมัสที่ใช้ตรวจสอบความ เป็นกรดด่างของสารละลาย 
ดอกอัญชันกินเป็นผักได้ ทั้ง จิ้มน้ำพริกสดๆ หรือชุบแป้งทอด 

อัญชัน เป็นไม้เถาที่ปลูกง่าย แข็งแรง ทนทาน ขึ้นคลุมรั้วและ ซุ้มต่างๆ ได้ดี จึงนิยมปลูกเป็นไม้ ประดับตามสถานที่ต่างๆ นอกจาก นั้นอัญชันเป็นพืชตระกูลถั่ว จึงปลูก คลุมดินเป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดินให้อุดมสมบูรณ์ได้ดี ลำต้นและใบสด ใช้เป็นอาหารของแพะ แกะ ได้ 

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557

หญ้าฮี๋ยุ่มหรือหญ้ารีแพร์

หญ้าฮี๋ยุ่มหรือหญ้ารีแพร์



หญ้าฮี๋ยุ่ม สำหรับผู้หญิงที่ต้องการคืนความสาว และต้องการให้ช่องคลอดกระชับขึ้น เลยมีชื่อเรียกว่าหญ้ารีแพร์ ชื่อเรียกอื่นๆได้แก่ หญ้าเหนียวหมา หญ้าอีเหนียว ไผ่เหล็ก และหญ้าขนหมอยแม่ม่าย
ในไทยมักเรียกกันว่า หญ้าเซนโตทีก้า เพราะใช้ในแง่เป็นหญ้าอาหารสัตว์  เป็นพืชมีอายุหลายปี ลำต้นสูง 50 - 70 เซนติเมตร ใบมีขนาดกว้าง 1.5 - 2.5 เซนติเมตร ยาว 6.5 – 15.0 เซนติเมตร ตามลำต้น กาบใบ และตัวใบจะเห็นเส้นใบลายเป็นทางยาวชัดเจน ใบมีขน ขอบใบเรียบ บางครั้งเป็นคลื่นเล็กๆ ทั้งสองด้าน ลิ้นใบ เป็นแผ่นบางๆ สีน้ำตาล สูง 2 - 3 มิลลิเมตร ช่อดอกแบบ ยาว 15 - 43 เซนติเมตร ช่อดอกย่อย มี 2 - 3 ดอก ดอกมีสีเขียว ยาวประมาณ 8 มิลลิเมตร ก้านสั้นๆ ที่กาบดอกด้านล่างหรือ มีลักษณะคล้ายหนามแหลมเล็ก ๆ จะติดไปกับเสื้อผ้าขณะเดินผ่าน ทำให้แพร่กระจายได้ง่าย ขยายพันธุ์โดยเมล็ดหรือท่อนพันธุ์ สัตว์ชอบกินปานกลาง การเจริญหลังการตัดหรือหลังสัตว์แทะเล็มช้า แต่ทนร่มเงามาก

การนำหญ้ารีแพร์มาวิจัยต่อยอดถึงสรรพคุณทางยา โดยการวิเคราะห์ด้วยวิธี “แก๊สโครมาโทกราฟี” คือนำหญ้ามาเผาจนเกิดควัน แล้วตรวจสารเคมีของหญ้าที่ระเหยขึ้นมานั้นพบว่ามีสาร 2 ชนิดคือ
1.สารกลุ่มโพลีฟีนอล มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ต้านสารอนุมูลอิสระค่อนข้างสูง ผลคือช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ และ
2.สารไฟโตสเตอรอล มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยลดคอเลสเทอรอลได้ในระดับสัตว์ทดลอง นอกจากนี้ ยังมีสารกลุ่มอื่นอีก จะต้องตรวจวิเคราะห์ในเชิงลึกต่อไป ว่ามีสารที่มีประโยชน์มากกว่านี้หรือไม่ เช่น ซิลิกา ช่วยให้เนื้อเยื่อแข็งตัว มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ลดการอักเสบ ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น มักนำมาเป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง เป็นต้น แต่หากสูดดมสารตัวนี้มาก จะก่อให้เกิดโรคปอดจากหินฝุ่นได้ แต่หากการเผาไหม้หญ้ารีแพร์ก่อให้เกิดสารตัวนี้จริงก็ไม่อยู่ในระดับที่เป็นอันตราย รวมถึงการนำไปต้มดื่มก็ไม่ก่อให้เกิดอันตรายเช่นกัน

สรรพคุณ คนโบราณ ใช้หญ้าฮี๋ยุ่มในผู้หญิงหลังคลอดทำให้มดลูกเข้าอู่เร็ว ช่วยกระชับช่องคลอด และรักษาแผลได้ด้วย ฆ่าเชื้อโรค และหญ้าชนิดนี้เป็นพืชตระกูลไผ่จึงมีซิลิกาซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูและสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ วิธีการที่ใช้คือ ขอนไม้ที่ผุหรือฟืน มาจุดไฟ แล้วเอาหญ้าหียุ่มทั้งห้า  สดหรือแห้งก็ได้ มากำใหญ่ วางบนขอนดอกที่ก่อไฟไว้ จะเกิดควันขึ้น จากนั้นผู้หญิงก็นุ่งผ้าซิ่นโดยถอดกางเกงในออก แล้วให้ไปยืนคร่อมขอนแล้วให้ถ่างผ้าถุงออกกว้าง ๆ ให้ควันของหญ้าฮียุ่มรมเข้าไปในผ้าถุงตรงบริเวณปากช่องคลอด จะทำให้คืนความกระชับ มดลูกเข้าอู่เร็ว ให้ทำวันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยรักษาแผลจากการคลอดลูกให้แห้งและหายเร็วขึ้น บีบมดลูกให้แห้ง ขับน้ำคาวปลา และทำให้สามีไม่ต้องรอนาน ในการที่อยากจะมีเพศสัมพันธ์หลังจากคลอดบุตร เพราะแผลหายเร็วช่องคลอดกระชับกลับมาดีเหมือนเดิม หญ้าฮี๋ยุ่ม คืนความสาวให้ทันใจ หญ้าสมุนไพร รู้ใจหญิงหลังคลอด.

ที่มา:http://www.abhaiherb.com/